SECTION
ABOUTOPTIMUM VIEW
At Sword’s Point
‘ฮิวโก้’ จุลจักร จักรพงษ์ กับมุมมองแหลมคมเกี่ยวกับดนตรี การเมือง และดาบซามูไร
หนวดเคราเขียวครึ้ม ปีกหมวกคาวบอย และเสื้อเวิร์กแมนแจ็คเก็ตแบบอเมริกัน ซ่อนข้อเท็จจริงหลายอย่างของ ‘ฮิวโก้’ จุลจักร จักรพงษ์ ไว้อย่างแนบเนียน
ผู้สนใจประวัติศาสตร์อาจรู้ว่าเขาเป็นเหลนทวดของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ และหลานตาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ สองเชื้อพระวงศ์ผู้ทรงเสกสมรสหรือทรงสมรสกับชาวต่างชาติ อันไม่ใช่สิ่งสามัญนักในสังคมไทย ผู้สนใจหนังหรือละครไทยอาจรู้ว่าเขาคือหนึ่งในดาราลูกครึ่งที่มาแรงที่สุดของยุค ’90s ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นยุคทองของดาราลูกครึ่งฝรั่ง ร่วมกันกับพระเอกอย่าง อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม แอนดริว เกร้กสัน เคิร์ก โรลลิ่ง หรือเจสัน ยัง ส่วนผู้สนใจดนตรีอาจรู้ว่าเขาคือนักร้องนำของ วงร็อคคันทรี่ ‘สิบล้อ’ เจ้าของเพลงฮิตอย่าง ‘ความลับในใจ’ ตลอดจนเพลง ‘99 Problems’ เวอร์ชันบลูกราสส์ที่เขาร้องภายหลังได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินภายใต้ค่ายร็อกเนชันของเจ้าพ่อแรปเปอร์อย่างเจย์-ซี และบางคนรู้กระทั่งว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยขึ้นเวทีประท้วงขับไล่ทักษิณ ชินวัตร ร่วมกันกับสนธิ ลิ้มทองกุล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนอาจไม่รู้ก็คือภายใต้ลุคของ ‘ขบถ’ และ ‘คนนอก’ หลายมิติอย่างนี้ ฮิวโก้คือหนึ่งในคนในและคนที่อนุรักษ์นิยมที่สุด ในยามที่กรุงเทพฯ มีความคิดสร้างทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา 14 กิโลเมตรที่อาจทำให้ต้องทำลายชุมชนเก่าแก่ในช่วงปี 2560 ฮิวโก้คือผู้ที่ออกมาพูดชัดเจนว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการรื้อทึ้งของเก่าและประวัติศาสตร์หากไม่มีเหตุผลที่ดี หรือในยุคสมัยที่มีข่าวดาราชิงรักหักสวาทแทบไม่เว้นแต่ละวัน ฮิวโก้มีภาพลักษณ์ของ ‘แฟมิลี่ แมน’ ผู้ให้ความสำคัญสูงสุดกับการมีคู่ครองคนเดียวและการให้เกียรติผู้หญิง ย้อนไปไกลกว่านั้น เขาหลงใหลในลวดลายไทยและเรียนเต้นโขนมาอาจจะตั้งแต่ก่อนรู้จักกับดนตรีร็อค หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ ผู้เป็นมารดากระทั่งเคยส่งเขาไปเรียนวาดเขียนกับถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติด้านจิตรกรรม ผู้มักพาเขาไปดูหนังบู๊ระห่ำก่อนจะกลับบ้านมาวาดจระเข้วิจิตรในไม่กี่ฝีแปรงให้เขาดู ฮิวโก้เล่าว่านิ้วโป้งข้างหนึ่งของถวัลย์ไว้เล็บยาวโง้ง ประดุจเล็บของสัตว์ป่า และบางครั้งถวัลย์หันมาบอกกับเขาแบบทีเล่นทีจริงว่า “เธอไม่ใช่ลูกครึ่งคนเดียว เราก็ลูกครึ่ง ครึ่งคนครึ่งหมี” ซึ่งฮิวโก้เล่าว่าเขาเชื่อโดยสนิทใจ
อะไรคือข้อสังเกตของผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บนจุดบรรจบและทางแยกของความคิด บ้างเคร่งขรึมตามธรรมเนียม บ้างโลดโผนนอกขนบนี้ เพราะดูเหมือนไม่ว่าจะครึ่งไทยหรือครึ่งฝรั่ง ครึ่งซ้ายหรือขวา ครึ่งอภิชนหรือคาวบอย ข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นลูกครึ่งแบบฮิวโก้ก็คือ
ไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถอ้างสิทธิ์เหนือความคิดของเขาอย่างสิ้นเชิง
เรื่องเล็กเล็ก
การสัมภาษณ์ฮิวโก้เกิดขึ้นที่ร้านเดอะ เนเวอร์ เอนดิ้ง ซัมเมอร์ ในเดอะ แจม แฟคตอรี่ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เขตคลองสาน ไม่ไกลนักจากวังจักรพงษ์อันเป็นที่พักของเขาและครอบครัว แสงสะท้อนจากผิวน้ำที่ไหลเอื่อยยามบ่ายทำให้พอเข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาจึงออกมาประท้วงการสร้างทางเลียบแม่น้ำซึ่งจะกั้นทัศนียภาพดังกล่าวไว้หลังผนังปูน สำหรับฮิวโก้ การเปลี่ยนผนังนี้อาจมีนัยสำคัญยิ่งกว่าการเปลี่ยนรัฐบาล
“สำหรับคนที่อยากรู้จักกรุงเทพฯ หรือชาวต่างชาติ ถ้าเขาต้องการที่จะเห็นภาพกว้างของกรุงเทพฯ วิธีที่ดีที่สุดก็คือนั่งเรือแล้วก็จะเห็นทุกศาสนาที่มีในเมืองไทย มีตึก มีวัด มีมัสยิด มีโบสถ์ อยู่ริมแม่น้ำ บางทีในพื้นที่นิดเดียวก็เห็นครบถึง 4-5 นิกาย แล้วก็จะเห็นโรงแรมหรูหราหรือโรงแรมที่มีประวัติศาสตร์เช่นโรงแรมโอเรียนเต็ล หรือชุมชนที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นร้อยปี ดังนั้น พอเห็นการรื้อชุมชน เราก็รู้สึกเสียดาย แล้วในเมื่อเราเป็นคนสนใจสังคม แต่ค่อนข้างผิดหวังกับการประท้วงต่อต้านทั้งระบบ ผมเลยลดย่อเป้าหมายให้แคบที่สุด แล้วออกมาเรียกร้องว่าอันนี้เป็นโครงการที่สิ้นเปลือง ไม่ว่าทำโดยภาคเอกชนหรือภาครัฐก็ตาม ไม่มีเรื่องของปรัชญาอุดมการณ์ หรือ ideology ฝักใฝ่ซ้ายหรือขวาเลย
…ไม่ใช่ว่าอุดมการณ์ไม่จำเป็นหรือไม่ดี แต่เรื่องอุดมการณ์มันน่าจะเป็นหน้าที่ของนักการเมือง นักการเมืองเขาต้องแสดงให้เห็นว่าเขามีหลักการเดียวกันแล้วเขาไม่ได้ออกนอกจุดยืน เช่น ถ้าพรรคนี้เชียร์ทหาร ทุกคนในนั้นก็อาจจะขวาพอสมควร อาจจะรัฐนิยม อำนาจนิยมอะไรก็ว่าไป ซึ่งก็เป็นจุดยืนที่มีได้ในโลก ผมไม่ได้เห็นด้วย แต่มันก็ไม่ได้เป็นจุดยืนที่บ้าหรือผิดเพี้ยน และแน่นอนมันไม่ได้ผิดเพี้ยนจากสังคมไทย ค่อนข้างเกินครึ่งหนึ่งของประวัติศาสตร์ ประเทศเราก็เป็นอาการประมาณนี้ ไม่ควรตกใจ แต่ควรผิดหวังในตัวเองที่อนุญาตให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเรายังเลือกไม่ได้ระหว่างความอิสระกับความเรียบร้อย ซึ่งมันขัดแย้งกัน
…เราอาจไม่ได้เห็นด้วยกับกระบวนการที่นำเรามาสู่จุดนี้ แต่เราอยู่จุดนี้ เราก็ต้องยอมรับความจริง ณ พื้นที่ ณ วันนี้ วินาทีนี้ อะไรอยู่ตรงไหน เราทำอะไรได้บ้าง เราควรใช้ความพยายามหรือแรงกายแรงใจกับอะไร ชัยชนะมันหน้าตาเป็นแบบไหน ผมไม่ต้องการจะแสดงจุดยืนเพื่อให้เห็นถึงความดีงามของจิตใจหรือความกว้างขวางของจุดยืนของผม ผมต้องการแสดงจุดยืนเฉพาะในบางกรณี เพื่อให้เกิดผลที่ชี้ได้ว่าชัยชนะคืออะไร เช่น ทางนี้ไม่ถูกสร้าง โรงงานไฟฟ้าที่สกปรกถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานที่มีระบบประหยัดขึ้น ซึ่งมันไม่มี ideology เกี่ยวข้องเลย ใน 50 ปีข้างหน้าผมก็จะเลิกคิดเรื่องนี้ แล้วก็คิดเรื่องอื่น นั่นคือชัยชนะ
…เรื่องสำคัญคือทำยังไงให้การเมืองไม่เป็นภัยต่อคน พยายามจำกัดอำนาจของรัฐที่จะมารังแกประชาชน เอาแค่นั้นก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยว่ากันเรื่อง positive ผมเชียร์ ‘negative freedom’ ไม่ใช่ ‘positive freedom’ คือ ‘freedom from’ ไม่ใช่ ‘freedom to’ ผมแค่ต้องการเป็นอิสระจากรัฐที่แสนน่ากลัว ไม่ใช่ต้องการอิสระเพื่อที่ผมจะได้สร้างโลกใหม่ เพราะว่าโลกใบนี้มันเก่าเลยจะไปรื้อมัน มันไม่ใช่ ต่อไปเราอาจจะมีเทคโนโลยีหรือการปฏิวัติทางความคิดที่มาจากคนวิเศษหรืออัจฉริยะ แล้วยุคสมัยมันอาจเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ระหว่างนี้ลดภัยของทุกอย่างให้น้อยที่สุด เหมือนหมอที่ถูกสอนว่า “At first, do no harm”
…ผมเคยทำ harm แล้ว ถ้าผมไม่เคยไปอยู่ในจุดนั้น ผมก็อาจจะไม่สามารถพูดได้ แต่ผมเคยไปประท้วงเพื่อเปลี่ยนผู้นำ แล้วในที่สุด ทหารในตอนนั้นก็อำนวยการเปลี่ยนผู้นำให้ แต่มันก็ไม่ได้ดีขึ้น อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ การไปประท้วงแล้วใช้วาจาที่รุนแรง มันนำไปสู่วิธีการหรือขั้นตอนนอกกฎหมาย เป้าหมายไม่สำคัญ เจตนาเองก็ไม่สำคัญ ผลสำคัญกว่า เพราะว่าผลคือสิ่งที่พวกเราต้องรับกันถ้วนหน้า ผมอาจไม่เคยอยากฆ่าคน แต่ผมขับรถทับคนตาย เจตนาผมก็ไม่มีความหมายในกรณีแบบนั้น ต้องคำนึงถึงผล นั่นคือสิ่งเดียวที่เราตกลงกันได้ เรื่องภายในของคุณ เรื่องความคิดของคุณ ผมไม่มีทางเปลี่ยนได้หรอก แต่การกระทำของคุณไม่ควรจะมีผลต่อผม และพี่น้องคนอื่นๆ
…สำหรับนักร้องคนหนึ่ง ผมว่ามันเหมาะสมแค่นี้ มากกว่านี้ผมว่ามันจะเสียความน่าฟัง ถ้าเราประท้วงทุกเรื่องๆ เราจะกลายเป็นนักประท้วง ซึ่งเราไม่ใช่ เราเป็นนักร้อง”
คำตอบตรง
แม้จะออกตัวเช่นนั้น แต่สำหรับหลายๆ คน สิ่งที่น่าฟังของฮิวโก้ไม่ได้มีเพียงบทเพลงแปลกใหม่ และดนตรีที่คิดมาอย่างพิถีพิถันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเด็นความคิดของเขาต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งตกผลึกคมคายสมกับที่เขาเติบโตมากับหนังสือหลากหลายตั้งแต่ ‘หลายชีวิต’ ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปจนกระทั่ง ‘มูซาชิ’ ของเอจิ โยชิคาว่า ในขณะที่ปัจจุบันมีข่าวดารานักแสดงถูกสังคมโซเชียลถล่มอันเนื่องมาจากความเห็นทางการเมืองจนถึงขั้นกระทบการงานและอาชีพอยู่บ่อยๆ ฮิวโก้บอกว่าเขาพยายามตอบคำถามสัมภาษณ์ให้ไม่ก่อความเข้าใจผิด แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องตอบให้ถูกใจ
“ตั้งแต่เข้าวงการบันเทิง ผมรู้สึกถึงความถาวรของสิ่งที่ทำลงไป ผมรู้ว่าถ้าทำอย่างนี้ วางตัวอย่างนี้ ก็จะได้แต่บทแบบนี้ ขนาดเป็นแค่เรื่องการวางตัวในวงการบันเทิง แต่มันมีผล เพราะมันอยู่ในภาคสาธารณะ ผมเลยรู้สึกว่าควรจะใช้ชีวิตให้เรื่องภายในกับภายนอกขัดแย้งให้น้อยที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นมันจะมีความตึงเครียดมากเกินไป เวลาพูดผมเลยพยายามระบุให้ชัดเจนที่สุด เพราะผมไม่ชอบให้เกิดความเข้าใจผิด แล้วผมยอมรับจุดด้อยของตัวเอง เป็นนักวิจารณ์ตัวเอง กว่าความคิดอะไรจะไหลออกมา แปลว่ามันถูกผมด่ามาไม่รู้เท่าไรแล้ว เพราะผมรู้ว่าพูดแล้วเราต้องอาศัยอยู่กับมัน
…แต่ผมจะไม่สนทนาแบบผ่านๆ ไป ผมซีเรียสกับเรื่องพวกนี้ อะไรที่ออกมาจากปาก ไม่ควรจะออกมาลอยๆ ไม่ควรจะพูดประโยคสำเร็จรูปที่มาพร้อมกับความคิดอะไรแฝงมาตลอด เฮ้ย---ทำๆ ไปเหอะ ทำแบบไทยๆ เฮ้ย---เมืองไทยก็แค่นี้ ผมเกลียดประโยคพวกนี้มาก ประโยคแบบเหมารวม แบบเหมือนขี้เกียจไม่ต้องคิด จริงๆ ฝรั่งหลายๆ คนก็พูด ไม่ใช่แค่คนไทย แทบจะพูดมาเป็นประโยคสำเร็จ เป็น template เลย ‘Hey man, it’s all good.’ ‘Whatever, man’ ผมว่ามันไม่มีประโยชน์
เป้าหมายไม่สำคัญ เจตนาเองก็ไม่สำคัญ ผลสำคัญกว่า เพราะว่าผลคือสิ่งที่พวกเราต้องรับกันถ้วนหน้า ผมอาจไม่เคยอยากฆ่าคน แต่ผมขับรถทับคนตาย เจตนาผมก็ไม่มีความหมายในกรณีแบบนั้น
…การพูดมันคือความคิด แต่บางคนไม่ได้พูดไปคิดไป เขาแค่กำลังปัดให้ไม่เกิดความเงียบ เลี้ยงบรรยากาศไว้ให้มันรื่นเริง ให้มันชิลๆ ให้ทุกคนสบายใจ ซึ่งก็เป็นความน่ารักมากๆ แต่ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น ใครมาสัมภาษณ์ผมแล้วผมพูดอะไรให้เขาอึดอัด ก็เป็นเพราะเขามาถามผมเอง ผมไม่ได้ต้องการจะแถลงการณ์อะไร การให้สัมภาษณ์เป็นเพียงเงื่อนไขของการหล่อเลี้ยงชีวิตให้คนรู้ว่า เออ---ผมยังมีชีวิตอยู่นะ งานการก็มีให้ฟังนะ แต่เมื่อสัมภาษณ์แล้ว ผมก็ต้องพูดสิ่งที่คิดจริงๆ ไม่อย่างนั้นไม่ต้องดีกว่า ผมเขียนแถลงการณ์พรรคของผมให้ทีเดียวจบเลย ว่าผมรู้สึกอย่างนี้ๆ ก็ได้ ปลอดภัยดี
อย่างไรก็ตาม ฮิวโก้ดูจะไม่เห็นประโยชน์ที่ใครจะมาเอาสาระกับความคิดเห็นของเขาหรือของใครเท่าใดนัก เขาเคยตอบคำถามสัมภาษณ์ของนิตยสารสารคดี ตั้งแต่เมื่ออายุเพียง 20 ปี เมื่อปี 2545 จนเป็นที่ฮือฮาว่า “อย่าไปใส่ใจกับคำพูดของดารามากเกินไป เขาไม่ได้จบอะไรมาที่จะมาสอนคุณได้ ผมเป็นเด็กอายุ 20 ผมจะรู้เรื่องอะไรมากกว่าคุณ” ยิ่งกว่านั้น สำหรับฮิวโก้ ความคิดสวยหรูค่อนข้างมีความหมายน้อย ถ้าไม่ได้เชื่อมโยงไปสู่การกระทำ
“ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีแผนการหรือระบบอะไรขนาดนั้น ส่วนมากชีวิตผมมันคือการรับมือกับสถานการณ์ ณ ตอนนั้น ซึ่งเราอาจจะมีหลักการภายในที่เป็นตัวกำหนดว่าเรารับมือยังไงแต่ไม่ได้ถึงขนาดมีปรัชญาหรือวางว่าถึงเวลาอย่างนี้จะต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น เพราะว่า philosophy มันคือเรื่องความคิด หลายครั้งความคิดพอแปลเป็นการกระทำ อาจจะไม่ตรงกันก็ได้ หลายๆ คนก็อาจจะประกาศว่าคิดอย่างนี้ๆ แต่ในชีวิตประจำวันทำตัวอีกแบบหนึ่ง เช่น เป็นคนซ้ายมาก แต่คุณไม่น่ารักกับเมีย กดขี่เมีย ก็ไม่เห็นจะซ้ายเลย ผมเลยชอบ Preach what I practice มากกว่า คืออธิบายว่าผมทำตัวยังไงปฏิกิริยาหรือ พฤติกรรมผมเป็นยังไง จะเป็นเพราะความคิดผม หรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่พูดได้ก็คือมันออกมาเป็นการกระทำอย่างนี้ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก ความสุข มันมักจะเกี่ยวกับ action มากกว่า feeling มันค่อนข้างเซนในแง่ที่ว่าขั้นตอนและการกระทำคือสิ่งสำคัญ ส่วนผลตอนจบก็แล้วแต่ชอบ”
ผู้ทรงอิทธิพล
สอดคล้องกับบุคลิกและการแต่งกาย การสัมภาษณ์ฮิวโก้บางครั้งให้ความรู้สึกของการสัมภาษณ์คาวบอยผู้เด็ดเดี่ยวอย่างในหนังตะวันตก แต่หากพิจารณาเส้นทางชีวิต คงไม่ผิดที่จะบอกว่าฮิวโก้เองได้รับอิทธิพลมาไม่น้อยจากผู้ที่ต้องมีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่งในแบบของตัวเอง เริ่มตั้งแต่มารดาของเขา คือหม่อมราชวงศ์ นริศรา จักรพงษ์ พระธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ กับหม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ณ อยุธยา ซึ่งกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เยาว์วัย อีกทั้งโดยสีผิวที่แตกต่างเคยถูกเพื่อนในเมืองไทยล้อว่า ‘อีหมาขาว’ ไปจนกระทั่งถวัลย์ ดัชนี ศิลปินผู้เคยต้องยกเลิกการแสดงผลงานในไทยอยู่เป็นหลายสิบปีเพราะคนไม่เข้าใจ ก่อนจะมาได้รับการยกย่องเป็น ‘จักรพรรดิบนผืนผ้าใบ’ และศิลปินแห่งชาติ
“แม่เป็นคนที่ละเอียดอ่อน อาจเป็นเพราะความเป็นลูกครึ่งด้วย เขาเป็นทั้งคนนอกและคนใน ในโหมดเป็นคนในก็ซูเปอร์ข้างในเลย แต่ในเมื่อเมืองไทยมองอะไรภายนอกค่อนข้างเยอะ เขาก็โคตรคนนอก เพราะดูเป็นฝรั่ง ผมยังได้เปรียบตรงที่อยู่ในวงการบันเทิง คนชินและลืมไปแล้วว่าผมเป็นลูกครึ่ง มันกลืนไป แล้ววงการบันเทิงอย่างน้อยก็ค่อนข้างนำหน้าในเรื่องการยอมรับความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง LGBT หรือเรื่องเชื้อชาติ กำพืด แต่แม่ไม่ได้อยู่ ดังนั้นตอนแม่เป็นเด็กๆ คงรู้สึกถึงความเป็นทั้งคนนอกและคนในยิ่งกว่าผม แม่เป็นคนพูดตรงๆ มีความคิดที่ไม่เข้าข้างระบบ ไม่เข้าข้าง hierarchy ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้เป็นขบถในเชิงการเมือง แต่เป็นขบถในเชิงบทบาทที่เขาควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้หญิง แม่ คุณหญิงฝรั่ง คนไทย กำพร้า อะไรก็ตาม ไม่มีใครเหมือนเขา เขามีความอนุรักษ์และยังอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ของครอบครัวตัวเอง ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นคนที่ร่วมสมัย เขาแข่งรถอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เป็นคนหัวโบราณ เขามีอิทธิพลมากที่สุดต่อเรา เพราะช่วงต้นของชีวิตน่าจะสำคัญที่สุดในการจัดสันดาน
…แล้วนานๆ ทีในชีวิตเราจะเจอคนที่น่าจับตามอง ตอนแปดเก้าขวบ ผมโชคดีเด็กๆ ได้ไปเรียนวาดรูปกับอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ไปอยู่กับเขาเลย เหมือนแม่ไปฝากเลี้ยง เพราะผมชอบวาดรูปชอบลายไทย ดังนั้นช่วงปิดเทอมผมจะเข้าไปนั่งหลังห้องที่เพาะช่าง แล้วก็ไปนั่งเรียนนู่นเรียนนี่วันๆ เขาก็จะพาไปดูหนังบู๊แบบที่ความจริงไม่ควรพาเด็กไปดู พวกหนังบู๊ฮอลลีวูด หนังตำรวจไล่ล่ายิงกัน แบบ Lethal Weapon ภาค 3 อย่างนี้แล้วพอกลับไปบ้าน เขาก็จะโชว์พวกเขี้ยวเล็บอะไรที่เขามี แล้วก็วาดจระเข้ หรือปาขวานให้ดู ก็มันดี แล้วสำหรับบทบาทของผู้ชาย มันมีอะไรที่น่าชักชวน เราประทับใจกับความเด็ดเดี่ยว การจับบังเหียนชีวิตตัวเองแล้วก็กำหนดทุกอย่างไปในทางที่ pure และชัดเจนของเขา ว่าเราจะไม่ทำอย่างนี้ เราจะทำอย่างนี้ เราทำอะไรแล้วเราจะทำให้มันดีที่สุด หรือการที่เขาสามารถ capture อะไรที่มันไทยมากๆ แล้วทำให้มันมีเอกลักษณ์นอกเหนือไปจากนั้น คือเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทย แต่ในขณะเดียวกันก็นอกเหนือกว่าด้วย เพราะว่ามันมีความเป็น individual ของเขา
...วงคาราบาวก็เหมือนกัน ในแง่ดนตรี ไม่เกี่ยวกับการเมืองหรือเรื่องการค้า โดยเฉพาะในตัวพี่แอ๊ด ผมมองว่าเขาสามารถ embody ความเป็นไทยได้ชัดกว่าอะไร พร้อมกับยังเป็น individual ที่ไม่มีใครซ้ำเลย ผมรู้สึกว่าคนเหล่านี้เขาเป็นอิสระ เขามีรัศมีของความเป็นนักรบ ความเป็นเจงกิสข่าน ผมเรียกพี่แอ๊ดว่าหัวหน้าเผ่า หรืออย่างอาจารย์ถวัลย์ แน่นอน สมัยก่อนก็คงถือกระบองใหญ่ๆ แล้วเฝ้าป่าอะไรสักอย่าง จำได้อาจารย์ถวัลย์เขาไว้เล็บข้างหนึ่งยาวมา ส่วนอีกข้างตัดปกติ แล้วเขาก็มาบอกเราว่าเขาเป็นลูกครึ่งเหมือนกัน ครึ่งคนครึ่งหมี ซึ่งเราก็เชื่อว่ามันคงจะเป็นอย่างนั้น
…แต่เอาจริงเราก็ไม่รู้ว่าอะไร shape เราได้หรอก มันแค่เป็นตัวอย่างที่นึกถึง การนั่งเครื่องบินบ่อยๆ ปริมาณเกลือในไดเอทตอนหกขวบ หรือสารตะกั่วในสี อาจจะมีผลมากกว่าก็ได้ ผมไม่รู้ แต่แบบนี้มันสนุกสุด มันเป็นทางเข้าสู่ความเข้าใจเมืองไทยสำหรับผม เข้าใจผ่านเลนส์คนแบบนี้ แล้วมันก็เป็นเลนส์ที่ทุกคนยอมรับ เพราะไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกใต้ดิน เขาก็เป็นหัวหอก หัวชั้นในศาสตร์ของเขา”
วงการมายา
ฮิวโก้เริ่มงานในสังคมไทยผ่านวงการละครโทรทัศน์ ซึ่งด้วยความที่เป็นลูกครึ่งทำให้ได้กระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ใบหน้าหล่อเหลาและชาติตระกูลสูงส่ง ส่งเสริมด้วยบทละครที่มักเขียนให้พระเอกดีแบบไร้ที่ติ ยิ่งทำให้ฮิวโก้มีภาพลักษณ์ของ Prince Charming อย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ภายหลังออกมาตั้งวงดนตรีเพื่อชีวิตชื่อ ‘สิบล้อ’ นี่ดูจะไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่เขาต้องการถูกจดจำ ในลักษณะใกล้เคียงกัน ฮาน่า ทัศนาวลัย ภรรยาของฮิวโก้เคยเล่าว่าเขาปฏิเสธงานพรีเซนเตอร์สินค้าปีละ 4-5 ตัวด้วยเหตุผลเพียงว่า “ไม่ได้ใช้จริง เงินได้มาเดี๋ยวก็หมด แต่ภาพพจน์ติดตัวไปจนตาย”
“มันเป็นโอกาส แล้วเราก็ไม่ได้เป็นเด็กตั้งใจเรียน ถ้าจะไม่ไปเรียนต่อ ก็ต้องหางานทำ แล้วมันดันมีงานวงการบันเทิงให้ทำ แถมรายได้ค่อนข้างดี เราก็ทำ เราไม่ได้อยากจะไส้แห้ง ไม่อยากจะเกาะแม่กิน เรารู้ตัวเลขที่ต้องการเพื่อใช้ชีวิตที่รู้สึกว่าสมควรหรือเหมาะสม ดังนั้นก็ต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำ แต่ต่อมามันรู้สึกว่าเรากำลังเสียช่วงเวลาสำคัญ เราเริ่มถูกใส่ป้ายว่าเป็นคนนี้ อย่างนี้ แล้วก็มีเรื่องภาพลักษณ์ของละคร ผมเข้าใจคุณค่าของละครที่มีต่อสังคมไทย แต่มันไม่ได้มีสำหรับผม ผมไม่ได้เสพ ผมไม่บริโภค ผมต้องการอะไรที่เป็นศิลปะมากกว่านั้น การทำวงดนตรีมันเหมือนเราเป็นผู้กำกับได้มากกว่า แต่ละคำที่ออกมาจากปากคือเราเลือกแล้ว เราอนุญาตให้มันออกมาแล้ว แต่ถ้าเป็นละครคุณก็ต้องรับไป เราจะมานั่งแก้บทเขาได้ยังไง มันไม่ใช่หน้าที่ของนักแสดง
…ดังนั้น มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมชอบ ผมชอบทีมงาน ผมชอบอยู่กับกองถ่าย อันนั้นสนุก แต่ตัวเนื้อเรื่องละคร หรือเรื่องการโปรโมท เรื่องวัฏจักรของข่าว หรือการอยู่ใกล้ชิดกับคนกลุ่มหนึ่งนานๆ แล้วต้องจากกันไป อันนั้นโหดไปสำหรับเรา เราอ่อนไหวต่ออารมณ์ ให้เราอยู่กับใคร ตอนแรกก็มองไปมองมา ไม่ได้ชอบอะไรนักหนา แต่อยู่ไปอยู่มาเริ่มจะหลงรักแล้ว เพราะอยู่ทุกวัน แล้วคนวัยนั้น จะให้จินตนาการอะไร ยี่สิบต้นๆ มันก็คิดแต่เรื่องนี้ แล้วมีแต่คนหน้าตาดีอยู่รอบตัวตลอดเวลา ในขณะที่เราก็เป็นคนซีเรียส ไม่สามารถเพลย์บอยแวะเยี่ยมดอกไม้ริมทางเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าเราอินกับความแตกต่างระหว่างภาพพจน์ที่ออกไปกับตัวเราจริงๆ รู้สึกขยะแขยง รู้สึกอายที่ต้องมาเชียร์อะไรที่เราไม่ได้เห็นด้วย
ฉิบหายบ่อยเกินไปก็อาจจะแย่ แต่ว่าฉิบหายทุกครั้งต้องลิ้มรสมันให้เต็มที่ แบบเลียจานให้หมด ให้รู้ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น และที่มันเกิดขึ้นในตัวเรา ทีนี้โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นอีกก็น้อยมาก
…มีคนบางคนที่นิสัยเขาเหมาะสมแล้วไปได้ดีมาก คือคนที่ทำให้คนอื่นสบายใจ สามารถรื่นเริง คนที่ดูเหมือนจะบ้องแบ๊วเบาๆ แต่จะให้ลึกๆ ก็ทำได้ คนพวกนี้ผมว่าจะเป็นดาราที่ลงตัว หรือคนที่ค่อนข้างดีใจทุกครั้งที่มีคนเข้ามาหา หรือไม่ก็ฝึกฝนตัวเองดีจนไม่รู้สึกอึดอัดใจ แต่เรายังเป็นคนที่ถ้ามาทักผมผิดจังหวะ ผมก็ยังอึดอัด นิสัยอย่างผมไม่เหมาะกับวงการบันเทิง ผมเหมาะกับวงการดนตรี กำลังดี เพราะมันมีจุดที่ โอเค---ถ้าเราอยู่ ณ คอนเสิร์ต ณ ร้าน เราก็พร้อมที่จะจับมือเปื้อนเหงื่อคนอื่นได้เลย แต่สำหรับวงการบันเทิงโดยทั่วๆ ไป ผมว่าคุณต้องใจกว้างกว่านั้นนิดหนึ่ง ต้องไม่ถือตัว แล้วต้องเข้าใจตลอดเวลาว่าทั้งชีวิตคือเป็นสินค้า”
เส้นทางดนตรี
การเลือกเดินออกจากวงการบันเทิงทำให้เขาได้เริ่มทำงานดนตรีอย่างเต็มตัว ผิดกับความคาดหวังของแฟนคลับจำนวนไม่น้อยที่หวังจะเห็นฮิวโก้ปรากฏตัวในลุคเทพบุตรเกลี้ยงเกลาแบบในละคร ฮิวโก้กลับเปิดตัววง ‘สิบล้อ’ ของเขาโดยอำพรางความหล่ออยู่ใต้หนวดเคราและลุคคนงาน การกระทำของเขาอาจไม่ใช่เรื่องปกติที่สุดของดาราดาวรุ่ง กระนั้น ฮิวโก้เห็นว่าคนวงการบันเทิงค่อนข้างมีต้นทุนที่เหลือเฟือสำหรับการเปลี่ยนแปลง
“ในยุคนั้น หรือแม้แต่ยุคนี้ วงการบันเทิง คนส่วนมากเขาทำทุกอย่าง ร้องเพลง เป็นพิธีกร เป็นนายแบบ เป็นนักกีฬา อย่างพี่เต๋า สมชายก็เตะบอลเก่งเป็นบ้า พี่ตูน บอดี้สแลมก็เป็นนักวิ่ง คือมันได้หมด แล้วแต่เลย ประชาชนไทยค่อนข้างน่ารัก เขารับได้ มึงจะไปทางไหน ก็ให้โอกาสมึงไปทางนั้น แต่ต้องทำจริงๆ จังๆ ระยะเวลาแทบจะชนะใจทุกคนได้ ถ้าทำนานพอโดยยังไม่ล้ม ในที่สุดคนก็ต้องยอมรับ สิบปี สิบห้าปี ยี่สิบปี ใครจะไม่ยอมรับ ชั่วโมงบินมันก็มีผลต่อฝีมือ ต่อความมั่นใจ”
ข้อสังเกตของเขาน่าจะเป็นจริงไม่น้อย เพราะเพลงของวงสิบล้ออย่างเช่น ‘ความลับในใจ’ ยังเป็นเพลงฮิตที่ได้ยินเปิดอยู่ตามคลื่นวิทยุเสมอกระทั่งในปัจจุบัน แต่ความสำเร็จนี้ยังเป็นเพียงจุดเริ่ม เมื่อเทียบกับที่ต่อมาเขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงระดับโลกอย่างไอแลนด์ เรคคอร์ดส์ก่อนจะตามด้วยค่ายร็อคเนชั่นของเจย์-ซี ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้มีโอกาสออกอัลบั้ม Old Tyme Religion เป็นของตัวเอง และถือเป็นการ ‘โกอินเตอร์’ อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากนั้นทั้งตัวเขาและเพลงก็ไปปรากฏอยู่ทั้งในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ซีรีส์ของเอชบีโอ ซีบีเอส เอบีซี หรือแม้แต่โฆษณาของวิคตอเรีย ซีเคร็ท และรายการ Late Show with David Letterman เว็บไซต์ CNN พาดหัวบทความเกี่ยวกับฮิวโก้ไว้ว่า From ‘Trash’ in Thailand to Triumph in the States ตามเกร็ดที่ฮิวโก้เล่าว่าเมื่อเริ่มวงสิบล้อแรกๆ เคยมีแฟนเพลงไม่เข้าใจและเรียกเพลงของเขาว่าขยะ และความจริงก่อนจะมาถึง ‘ชัยชนะ’ ฮิวโก้ต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบ ‘ขยะ’ อย่างนั้นมากกว่าหนึ่งครั้ง
“โอกาสมาหลังจากเราทำเพลงซึนามิ (‘26/12/04’) เป็นภาษาอังกฤษ อะแมนด้า โกสต์ได้ยินเพลงนั้น เขาก็ชวนไปแต่งเพลง แล้วพอแต่งไปสองเพลง ก็มีคนมาบอกว่าอยากจะเซ็นสัญญากับเรา เหมือนที่ผมบอก ส่วนมากในชีวิตผม เรื่องใหญ่ๆ มันไม่มีทางเลือก เช่น จะแต่งงานไม่แต่งงาน มันไม่มีทางเลือก ต้องแต่ง เพราะไม่อย่างนั้น เราคงเสียคนนี้ไป ดังนั้น หลักการมันจะบังคับคำตอบอยู่แล้ว ถ้าผมเรียกตัวเองว่าเป็นนักร้อง ถ้าผมเรียกตัวเองว่าเป็นคนที่ใส่ใจและเอาจริงกับดนตรี แล้ววันหนึ่งมีสัญญามาจากไอแลนด์ เรคคอร์ดส์ที่ลอนดอน พร้อมเงินนับแสน และโอกาสที่จะออกไปสู่โลกกว้าง นักร้องคนไหนจะปฏิเสธ ทั้งๆ ที่มันมาโคตรผิดจังหวะ ทั้งๆ ที่ผมยังอินกับวงสิบล้อ ผมก็ต้องรับ ไม่อย่างนั้นผมคงเสียดายตลอดชีวิต
…แต่ในที่สุด สัญญาแรกก็ล้มเหลว ผมโดนดรอปหลังจากบินไปแอลเอ ไปเริ่มอัดดนตรีกับคนนั้นคนนี้ แต่แล้วคนที่เซ็นเราเข้ามาก็โดนบริษัทไล่ออก เพราะไปทำสิ่งที่เรียกว่า double dip แบบเป็นทั้งคนเซ็นและทั้งกินเปอร์เซนต์ในฐานะผู้จัดการของอีกวงหนึ่ง มันก็เหมือนการเมืองในบริษัทใหญ่ๆ พอหัวแผนกหายไป ลูกน้องก็ซวยไปด้วย ตอนนั้นเราทิ้งเพื่อนในวงเพื่อที่จะมาเป็นศิลปินเดี่ยว แล้วสุดท้ายเราก็ถูกสะบัดทิ้งเอง รู้สึกว่าเป็นเวรกรรมจริงๆ”
ชีวิตที่ทารุณ
ความรู้สึกของการไม่ได้รับการยอมรับเมื่อแรกตั้งวงนับเป็นสิ่งที่เตรียมใจไว้ก่อนได้ แต่ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ณ ขณะที่ทุกสิ่งกำลังดูจะไปได้ดีถือเป็นการเด็ดปีกกลางอากาศที่ทารุณอย่างยิ่ง อย่างที่ฮิวโก้เคยให้สัมภาษณ์ว่า “คิดว่าตัวเองเจ๋งมาก อีโก้มาก เหลิงมาก คิดว่าตัวเองต้องดังมาก แต่ทุกอย่างกลับไม่ใช่ อีโก้ที่เรามีโดนอัดยับ” แต่ ณ ขณะที่เขากำลังตัดสินใจหันหลังให้กับวงการดนตรีและออกจากสหรัฐฯ นั้นเอง ‘ราชินีแห่งป๊อบ’ บียอนเซ่ โนวส์ ผู้อยู่ในสถานะที่มีเพลงและนักแต่งเพลงรอให้เลือกนับไม่ถ้วน กลับได้เจาะจงคัดเอาเพลง Disappear ที่ฮิวโก้แต่งไปใส่ไว้ในอัลบั้ม I Am…Sasha Fierce ของเธอ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ฮิวโก้สร้างชื่อข้ามคืนในฐานะนักแต่งเพลง แต่ยังนำไปสู่การเซ็นสัญญาของเขาในฐานะนักร้องกับค่ายร็อคเนชั่นของเจย์-ซี ผู้เป็นสามีของบียอนเซ่ในระยะเวลาต่อมา เมื่อมองย้อนหลัง ฮิวโก้ดูเหมือนจะขอบคุณทั้งบียอนเซ่และ ‘ความล้มเหลว’ ที่เกิดขึ้น
“พวกช็อตพ่ายแพ้ มันมีบทเรียนเยอะกว่าพวกช็อตชัยชนะ เพราะว่าเวลาชนะเราไม่แน่ใจว่าเราชนะเพราะอะไร เราชนะเพราะว่าบ้านเกิด กำพืด ตระกูลหรือเปล่า เราชนะเพราะบางสิ่งบางอย่างที่เราถูกมอบมา แม้แต่พรสวรรค์เองก็จะไปภูมิใจกับมันมากไม่ได้ บางคนมี บางคนไม่มี แต่บทพ่ายแพ้ เราน่าจะรู้ดีว่าเราแพ้เพราะอะไร มาจากส่วนไหน สมมติว่าเราวิ่งอยู่กับ 5 คนแล้วเราชนะ รู้ได้ยังไงว่าคนที่สองที่น่าจะชนะเรา มันไม่ได้เป็นตะคริว เราไม่รู้ว่าเราชนะเพราะอะไร แต่เรารู้ว่าเราแพ้เพราะอะไร เราแพ้เพราะเราเป็นตะคริว เราแพ้เพราะเราซ้อมน้อยเกินไป เราแพ้เพราะว่าเราวิ่งช้าเกินไป มันตอบได้ แต่ชนะเพราะอะไรไม่รู้ ชัยชนะแทบจะไม่มีค่าอะไรนอกจากไอ้โล่ในวันนั้น มันสอนอะไรเราในระยะยาวไม่ได้เลย การประสบความสำเร็จเป็นอันตรายมากต่อสมอง เพราะว่าเราจะเหลิง คิดว่าเพราะเราแม่งถูกทุกอย่าง เราถึงดังและประสบความสำเร็จ ไม่---ดวงล้วนๆ แต่บทพ่ายแพ้หรือความฉิบหายที่เกิดขึ้น มันมีบทเรียนเต็มไปหมดเลย เพียบ---โคตรเป็นประโยชน์ แต่ทำยังไงให้มันพอดี เพราะถ้าฉิบหายบ่อยเกินไปก็อาจจะแย่ แต่ว่าฉิบหายทุกครั้งต้องลิ้มรสมันให้เต็มที่ แบบเลียจานให้หมด ให้รู้ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น และที่มันเกิดขึ้นในตัวเรา ทีนี้โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นอีกก็น้อยมาก
…ผมงอนโลกไปพักหนึ่ง แต่ด้วยความคิดหาทางว่าเราจะมองหน้าตัวเองยังไง ว่าจะอาศัยต่อยังไง โดยไม่ต้องอกหักขนาดนั้นก็คือ โอเค---เราไปเป็นนักแต่งเพลง คนไล่กูออกจากตำแหน่งนี้ไม่ได้ เพราะว่าเราก็รู้ว่าเราพอจะเข้าใจภาษาอังกฤษ เข้าใจความสอดคล้อง แล้วเราก็ใส่ใจกับการแต่งเนื้อร้อง พยายามไม่ซ้ำกับคนอื่น เราก็แอบหวังว่าเราจะมีที่อยู่ในวงการนั้นในที่สุด เราสังเกตเห็นแล้วว่าศิลปินใหม่เป็นท้ายแถวเลยในระบบนิเวศ เป็นปลาตัวเล็กสุด สับเปลี่ยนตลอดเวลาได้ พวกแมวมอง พวกคนในค่าย เขาจะรู้สึกว่าเขาคือแกนหลัก ศิลปินเวียนเข้าเวียนออก แต่เขาอยู่มาเป็นสิบๆ ปี แล้วสุดท้ายสิ่งที่ค่ายต้องการจากศิลปินก็คือแค่ให้ 1 ใน 10 ประสบความสำเร็จเพื่อมา cover loss ของอีก 9 คนเท่านั้น พอเห็นอย่างนี้ เราก็รู้สึกว่าต้องพยายามอยู่ในเบื้องหลังให้ได้ เราก็เริ่มเป็นนักแต่งเพลง top line ก็คือเข้าไปนั่งกับศิลปินใหม่ ส่วนมากจะเป็นน้องผู้หญิงคนใหม่ที่กำลังจะออกเทป ไปช่วยกลั่นความรู้สึกของเขาออกมาเป็นเนื้อร้อง ณ ตรงนั้น เช็คเนื้อร้องให้เป๊ะ แล้วก็ทำให้ session มันจบ
…เราต้องเข้าใจว่า มันไม่ใช่สิทธิของใครที่จะประสบความสำเร็จในวงการดนตรี มันอาจจะไม่จำเป็นเลยต่อสังคม ถ้าเราเข้าใจตรงนั้น เราก็ไม่น่าจะเหลิง แล้วทำให้เราโฟกัส แต่แน่นอนมันเหนื่อยเพราะบางทีมันจะเกิดอะไรให้เรารู้สึกว่า เหี้ย---หรือว่าเรามันจบแล้ววะ หรือว่าเวลาของเรามันจบแล้ว เกิดขึ้นบ่อยมาก แต่ก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง แล้วเราก็จะเจอแรงบันดาลใจใหม่ เจอวิธีการ หรือขั้นตอนใหม่ บุคลากรใหม่ หรือบางทีเราเจอศิลปินรุ่นน้องแล้วไปทำเบื้องหลังหรือไปช่วยเขา เราก็ได้เรียนอะไรที่เราเอากลับมาใช้ตรงนี้ได้ เช่น พอเราไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้คนอื่น เราก็เริ่มเข้าใจจริงๆ ว่างานเราควรจะเป็นยังไงมากขึ้น มันทำให้เรามองตัวเองเป็นคนนอกได้ เริ่มเข้าใจว่าฮิวโก้คืออะไร มันควรจะเป็นเพลงแบบไหน เป็นชิ้นงานแบบไหน แล้วพอเราทำงานให้คนอื่นเราก็วางตรงนั้นได้ เราไม่ต้องไปสนใจเรื่องน่าเบื่อๆ ของฮิวโก้ มันก็เป็นวิธีที่เราจะทดลองสารบางอย่าง
…มันไม่มีสูตรหรอก ของอย่างนี้มันเวิร์คหรือไม่เวิร์คเท่านั้น บางคนเอาลายไทยมาประยุกต์ใหม่ แล้วมันอุบาทว์ บางคนเอามาประยุกต์ใหม่แล้วมันเยี่ยม ไม่รู้จะตอบยังไงว่าเพราะอะไร มันไม่น่าจะมีสูตร มันขึ้นอยู่กับมนุษย์คนนั้น มนุษย์คนนั้นดันทำได้ดี อย่างพี่แอ๊ดดันทำได้ดี สอนไม่ได้หรอก ศิลปะไม่ได้เป็นประชาธิปไตย มันไม่แฟร์ มันไม่ยุติธรรม บางทีคนที่ทำไม่ได้ดียังได้ดี มันจึงไม่มีอะไรที่ผมให้คำปรึกษาได้ นอกจากว่าห้ามถอย ในแผนกอะไรที่คุณเลือกแล้ว ห้ามถอย เพราะว่ามันเหมือนบ่อน ถ้าคุณไม่นั่งที่โต๊ะคุณไม่มีทางชนะ โอกาสที่คุณจะแพ้ก็สูงมาก แต่ถ้าไม่นั่งที่โต๊ะ หรือถ้าไม่เข้าสังเวียน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เหรียญ การันตีศูนย์เปอร์เซนต์”
หนังสือเรื่อง ‘มูซาชิ’ เป็นหนังสือที่ดีที่สุด เพราะว่าบทเรียนของมันจริงที่สุดเลย คือหนึ่ง ดาบที่ดีที่สุด คือดาบที่คุณมี แล้วบางทีอาวุธที่ดีที่สุดก็ไม่ใช่ดาบ อย่างตอนจบ มูซาชิชนะด้วยไม้พายเรือ เพราะว่าไม้พายเรือยาวกว่าดาบของอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักดาบที่เก่งที่สุด
อหังการ์ศิลปิน
แน่นอน ฮิวโก้เองได้ลงแข่งมาแล้วอย่างเต็มภาคภูมิกับสองอัลบั้มที่เขาออกภายใต้ชื่อค่ายระดับโลกอย่างร็อกเนชัน อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลเรื่องความคล่องตัวในการทำงานและใช้ชีวิต ในที่สุดฮิวโก้ได้เลือกที่จะยุติสัญญาแล้วกลับมาทำเพลงที่ไทย โดยสอดคล้องกับที่ถวัลย์ ดัชนี หรือ ‘ลูกครึ่งหมี’ ที่ฮิวโก้ให้ความเคารพเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ศิลปินต้องแสดงความเป็นปัจเจกภาพของจิตวิญญาณออกมาให้ชัดแจ้ง ใครที่เป็นความหวานแพร้วเพริศ ใครเป็นเปลวเพลิง ใครเป็นกระแสธารน้ำตก ใครเป็นยาพิษ เป็นความขมขื่น” ฮิวโก้เองไม่เคยหวาดหวั่นกับการแสดงปัจเจกภาพของตัวเองให้ปรากฏผ่านงานดนตรี เช่นเพลง ‘ดำสนิท’ ซึ่งได้รับรางวัลเพลงยอดเยี่ยมจากเวทีสีสันอวอร์ดครั้งที่ 29 ของเขานั้น ไม่เพียงแต่จะมีนัยยะลุ่มลึก ตีความได้ทั้งระดับชีวิต สังคม และปรัชญา แต่กระทั่งมิวสิกวีดีโอของเพลงนี้ยังอ้างอิงไปถึงวัตถุทางวัฒนธรรมหลากหลาย ตั้งแต่หนังคลาสสิกอย่าง Vertigo ของอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ไปจนกระทั่งภาพเขียน The Lovers 2 ของศิลปินเรอเน่ มากริต การที่คนเสพเพลงแล้วไม่ ‘อิน’ หรือไม่ ‘เก็ต’ กับสิ่งเหล่านี้ ดูจะไม่ใช่ปัญหาที่เขากังวล
“เราคือกระแส ผู้ฟังไม่มีสิทธิมากำหนด ศิลปะไม่ใช่ประชาธิปไตย ศิลปะเป็นระบบศักดินา งานคุณน่าดูหรือไม่น่าดูมันไม่ได้เกี่ยวกับความยุติธรรม มันไม่ใช่สิ่งที่โหวตกันได้ ความสวยความงามมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงส่วนมาก เสียงส่วนมากไม่รู้เรื่อง ถึงต้องมีศิลปินไง ผมถึงอยู่บนเวที แล้วคนอื่นเขาเลยอยู่ตรงนั้น ต้องอย่าฟอร์ม ผมเข้าใจว่าอันนี้มันขัดแย้งกับสิ่งที่คนต้องการ คือความกันเอง ใครๆ ก็ร้องได้ ไม่---ทุกคนไม่จำเป็นต้องออกเทป ทุกคนไม่น่าฟัง จะเรียกว่าความหยิ่งก็ได้ แต่ว่านั่นคือความจริง เพลงผมไม่น่าฟังสำหรับคนส่วนมาก แต่ว่าคนส่วนมากไม่ใช่ทั้งหมด คนส่วนแค่ 20% ของประเทศนี้ก็เป็นคนปริมาณเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องระดับอิมแพ็ค อารีน่า เป็นสกาล่าก็ได้ เหมือนจริงๆ คุณไม่ต้องซื้อรถยุโรปหรอก รถญี่ปุ่นที่ประกอบเมืองไทยก็เยี่ยม เป็นรถที่ดีแล้ว แต่บางคนมันดัดจริต มันชอบอะไรที่มันอีกสักนิดหนึ่ง นั่นแหละ ผมก็เป็นอะไรแบบนั้นสำหรับพวกคนฟังเพลงที่ลูกทุ่งกับป๊อปอย่างเดียวมันไม่พอ เขาต้องการอะไรที่มันมากกว่านั้นนิดหนึ่ง ต้องการเนื้อที่หมักมาอีกแบบหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการคนฟัง ฮิวโก้เชื่อว่าเสียงที่ไม่มีคนได้ยินไม่มีความหมาย และนักร้องที่ไม่ต้องการคนดูอาจเพียงหลอกตัวเอง
“ผมไม่เชื่อว่าทุกคนที่ผลิตผลงานไม่อยากให้มันไปถึงคนปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะอยากชมหรือฟัง ทำหนังขึ้นมาเรื่องหนึ่ง คุณไม่อยากให้คนเป็นล้านดูเหรอ คุณอยากให้คนร้อยหนึ่งก็พอแล้วใช่ไหม ไม่มี ผมไม่เชื่อ ผมว่าเขาเอามาป้องกันตัวเอง หรือขี้เกียจ เราต้องโหดกับตัวเอง เพราะว่าถ้าเราโหดกับตัวเอง เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนอื่น งานมันจะดีขึ้น แล้วมันจะถึงจุดที่บางวันเราจะผ่อนคลายได้ว่ามีเด็กฮิปฮอปหรือศิลปินหน้าใหม่มาบอกเราว่า เฮ้ย---พี่ผมฟังเพลงนี้ นี่แหละ เราทำเพื่ออะไรแบบนี้ มันเกี่ยวกับคนอื่น เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แล้วก็มานั่งสะใจอยู่คนเดียวในห้อง อันนั้นโรคจิตแล้ว มันต้องมีคนอื่น มันต้องมีคนดู มันต้องมีเสียงปรบมือ มันต้องมีการยืนยัน มันต้องมีการสะท้อนกลับมา นี่คือความต้องการของทุกคนที่เต้นกินรำกิน ไม่ว่าจะเป็นโขนยันรูดเสา ขอให้คนสังเกต ขอให้คนมองแล้วก็เห็นด้วย เราจะได้รู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยว แล้วเราก็ไม่บ้า
…สิ่งที่ผมชอบที่สุดก็คือการเล่นสด ทุกอย่างมันมีบทบาทที่แตกต่าง ผมทำอัลบั้มเพื่อรักษาโอกาสที่จะได้ขึ้นเวทีแล้วจะได้ร้องเพลง นั่นคืออาชีพหลักของผม เป็นนักร้องที่คนจ้างมาเพื่อให้คนมาดูเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นอีเวนท์ หรือเป็นร้านอาหาร หรือเทศกาล เขาจ้างเราเพราะว่าเขารู้สึกว่าเราคงจะนำพาปริมาณคนจำนวนมากเข้ามาในงานหรือไม่ก็สร้างคุณภาพบางอย่างภายในงานที่เขาไม่รู้จะอธิบายว่ามันคืออะไร ผมรู้ว่าผมมีบทบาทตรงนี้ ผมสามารถผลิตมู้ดนี้หรือให้ความอะไรสักอย่างหนึ่งที่หาจากคนอื่นไม่ได้ ผมรู้สึกว่าดนตรีไทยมันเศร้าสงสารตัวเอง หรือยิ้มแย้มรื่นเริงเกินไป ซึ่งผมก็เข้าใจว่าคนส่วนมากชอบอะไรแบบนี้ คนต้องการแอร์เย็นๆ ห้างเดินสบาย สีขาวๆ ผมเก็ท---ผมไม่ว่าอะไร แต่ไม่ใช่ทุกคน บางทีคุณอาจจะต้องการอะไรที่ทึบกว่านี้ คุณต้องการอะไรที่ลึกกว่านี้ ต้องการอะไรที่มันเหวี่ยงกว่านี้ อันนั้นหน้าที่ผม คือช่องนั้น เมื่อคุณต้องการอะไรที่ weird กว่านี้ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของคำว่าเพราะ
…การได้ร้องเพลงและมีคนฟังคือสิ่งที่ผมรัก ถ้าผมทำตรงนี้ฟรีๆ แล้วรัฐบาลเอื้ออำนวยค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ของผมให้ ผมก็ยอม คือผมไม่ต้องการสตางค์จากการทำตรงนี้ แต่ว่ามันดันเป็นด้านเดียวของงานผมที่มีรายได้พอจะเรียกว่าอาชีพได้ งานเบื้องหลังโปรดักชันมันไม่ถี่พอ แล้วงบประมาณไม่เยอะพอที่ผมจะส่งลูกเรียนอินเตอร์ มันเลยเป็นความลงตัวและความพอดีที่สิ่งที่ผมชอบทำมากที่สุดเป็นอาชีพหลัก อย่างอื่นก็คือเพื่อเสริมตรงนั้น ผมเลยต้องทำอัลบั้มที่น่าฟัง เพื่อที่จะมีคนจ้างผมไปเล่น โดยไม่ต้องเล่นแต่เพลงเก่า ผมชอบทำอัลบั้มใหม่และชอบเล่นสด อะไรก็ได้ที่ทำให้ผมยังทำตัวอย่างนี้ได้เรื่อยๆ แล้วผมก็เคยทำมาหลายวิธีแล้ว อยู่มา 6 ค่ายแล้ว ดังนั้นผมก็จะอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีงบประมาณให้ผมผลิตอัลบั้มที่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก แล้วทำให้ผมเป็นวงหรือศิลปินที่น่าจ้าง”
จุดบรรจบไทยเทศ
ด้วยเหตุที่ฮิวโก้ยังทำงานเพลงทั้งในภาษาไทยและอังกฤษ เขาจึงต้องคิดถึงความเป็นไทยและฝรั่งอยู่บ่อยครั้ง
“ฝรั่งจะไม่มองชนชั้นเป็นเวรกรรม ฝรั่งจะมองชนชั้นเป็นอุบัติเหตุของประวัติศาสตร์ที่ต้องแก้ไขแล้วก็คลี่คลาย ฝรั่งจะมองถึงสิทธิส่วนตัวของบุคคลเป็นความดีงามสูงสุด ฝั่งเราน่าจะมองส่วนรวมมากกว่า สำหรับผม ไม่ได้มีอันไหนดีกว่ากัน เผลอๆ ในโลกกว้าง มุมมองคนไทยอาจจะสอดคล้องกับความจริงมากกว่า ฝรั่งอาจจะเพ้อเกินไป เพราะถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่คุณภาพมันก็แย่ individual ก็สามารถไปยิงโรงเรียนได้ นั่นคือสิทธิของ individual ที่จะมีปืน ที่จะมีความคิดเห็น ที่จะมีสมาคมเหยียดสีผิว นั่นคือ individual โคตรๆ ดังนั้น บางทีการมองส่วนรวมของเราก็ไม่ใช่ว่าเป็นอุปสรรคหรือร้ายแรง หรือต้องแก้ไขลบล้างไปให้หมด ผมไม่แนะนำ
…แน่นอน การต้องแต่งเพลงทั้งสองภาษา ทำให้ภาษาน่าจะเป็นเรื่องที่ผมคิดถึงบ่อยสุด แต่ในแง่เพลง บางทีมันก็อาจจะไม่เกี่ยวกับภาษาก็ได้ มันอาจจะเกี่ยวกับวัฒนธรรมมากกว่า วัฒนธรรมเพลงของอังกฤษอเมริกาจะเน้นการเปรียบเทียบ มันเป็นอะไรที่คุณต้องเข้าใจ context ของมันอยู่ก่อน เช่นยุค ’60s ดนตรีก็จะออก psychedelic หรือคุณต้องเข้าใจยุค ’30s ’40s เพื่อที่จะเข้าใจบลูส์ แต่พอเพลงไทย ทุกเพลงต้องอยู่ได้โดดๆ เพลงต้องมีความหมายจบในตัว ภายในสองสามประโยคแรกต้องตอบคำถามว่า เพลงนี้ชื่ออันนี้ทำไม แล้วภาษาไทยมันมีทำนองมีโน้ตของมันอยู่แล้ว คำมีอิทธิพลต่อเมโลดี้มากกว่าภาษาอังกฤษ ซึ่งเราบิดแค่ไหนก็ได้
…สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับภาษา แต่มันเกี่ยวกับคนฟังมากกว่าว่าถ้าร้องไม่รู้เรื่องเขารับได้ แต่คนฟังไทยอาจจะรับไม่ได้ ซึ่งผมก็เห็นว่ามันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ผมนับถือนักแต่งเพลงลูกทุ่ง เพลงเพื่อชีวิตมากเพราะเหตุนี้ เพราะว่ามัน formal อยู่ในทางเมโลดี้ เหมือนบลูส์ ซึ่งก็ formal ว่าถ้าคุณเริ่มไปคอร์ดนู้นคอร์ดนี้ มันไม่ใช่บลูส์แล้ว เพลงไทย ลูกกรุง ลูกทุ่ง เพลงไทยเดิม เพลงพวกนี้มีความสละสลวย เพลงของชาย เมืองสิงห์ มันมีเรื่องเนื้อร้อง การเล่นกับคำ การเล่นกับเสียงของคำ การสอดเสียงของภูมิภาค มันทำให้ไปโน้ตนี้โน้ตนั้น เช่น ความเหน่อของพี่แอ๊ดมันทำให้เขาไปโน้ตบางโน้ตที่ผมไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าผมไปแล้วเหน่อ แล้วผมไม่มีเหตุผลที่จะเหน่อ ผมไม่ได้เป็นคนสุพรรณ ผมเลยต้องร้องแบบสำเนียงแบบภาคกลาง สำเนียงแบบนักข่าว
…การเข้าใจความแตกต่าง การเข้าใจว่าทุกอย่างมันมี system ของมัน แล้ว system ที่แตกต่าง น่าจะส่งผลที่ต่าง มันก็ทำให้เข้าใจว่า ตัวตนของคนเรามันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเยอะ ขึ้นอยู่กับระบบนิเวศที่อาศัย แล้วภาษาก็คือส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่หล่อหลอมความคิดและพฤติกรรม นี่คือที่ๆ ผมอาศัยอยู่ตลอดเวลา พรมแดนระหว่างภายนอก-ภายใน พรมแดนของสิ่งแวดล้อมกับธรรมชาติภายใน ทำไมเขาพูดอย่างนี้ ทำไมเขาทำอย่างนั้น มันน่าสนใจที่จะรู้”
ความเข้าใจ
ฮิวโก้เคยอธิบายถึงเพลงเพื่อชีวิตว่าคือเพลงที่ไม่ได้พูดถึงความรัก แต่พยายาม ‘สร้างความรู้’ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เมื่อพิจารณาจากกิจวัตรส่วนตัวของฮิวโก้ที่มักจะอ่านหนังสือเล่มโตหรือฟังเล็กเชอร์วิชาการยาวๆ ชีวิตของเขาก็คือเพลงเพื่อชีวิตอันต่อเนื่องเพลงหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังถึงหนังสือชีวประวัติโจเซฟ สตาลิน ของสตีเฟน คอตลิน ขนาด 3 เล่ม 3,000 หน้า ที่เขากำลังปลุกปล้ำอ่านอยู่ ซึ่งมีทฤษฎีว่าความน่ากลัวของสตาลินไม่ใช่เพราะสตาลินไร้จุดยืนและบ้าอำนาจอย่างที่คนพูด แต่เป็นเพราะเขามีอำนาจโดยบ้าจุดยืน (“สตาลินเป็นคอมมิวนิสต์เต็มตัว ทุกอย่างที่เขาทำ เขายืนยันด้วยทฤษฎีของมาร์กซ์และเลนนินและเพราะเขามีอุดมการณ์ เขาถึงได้โหดขนาดนั้น มันเลยเป็นตัวอย่างที่ดีว่าพวกคนที่มีอุดมการณ์น่าเป็นห่วงกว่าคนที่ไม่มีจุดยืนเลย เพราะถ้าป้อนโปรแกรมผิดอันก็ยุ่ง เชื่ออะไรมากเกินไป แล้วลืมความเป็นมนุษย์ ลืมมารยาท ลืมสังคม”) ถ้าไม่นับเชื้อสายรัสเซียทางยายทวด นับเป็นเรื่องเข้าใจยากว่าเหตุใดนักร้องคนหนึ่งจึงสนใจความคิดทฤษฎีที่ดูแล้วห่างไกลทั้งโดยเวลาและสถานที่เช่นนี้
“โลกหรือธรรมชาติ สังคมหรือทุก subject มันชักชวนให้เราเข้าใจมัน แล้วการรู้มัน มันแทบจะไม่มีข้อเสียอะไรเลย ไม่มีภัยอะไรเลยที่จะรู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะอะไรที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมันน่าสนใจสุด ผมจะชอบฟังนักคิดหรือนักข่าวที่ผมไม่เห็นด้วย พยายามเข้าใจว่าเขาเป็นคนฝั่งนู้นได้ยังไง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งทรัมป์ หรือฝั่ง Brexit ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล อะไรก็ว่าไป มันน่าสนใจ แล้วความเข้าใจ มันจะนำไปสู่คำตอบที่อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ แต่เป็นคำตอบที่มีประโยชน์
…ต่อให้ความเข้าใจเหล่านี้มันไม่กระทบต่ออาชีพ มันก็มีผลโดยตรงต่อชีวิตส่วนตัวผม ถ้าผมพบคนจากที่หนึ่งที่ผมมีความเข้าใจมากขึ้น โอกาสที่จะมีความเข้าใจผิดก็จะน้อยลง ถ้าผมเข้าใจว่าคนใต้เป็นอย่างนี้ โอกาสที่เราจะมีบทสนทนาหรือความสัมพันธ์ที่ละเอียดกว่าคนที่ไม่เข้าใจมันก็มากขึ้น ไม่อย่างนั้นเราอาจจะตกใจกับวาจาเขา อาจจะตกใจกับอิริยาบถท่าที แต่ถ้าเราเข้าใจ ชีวิตมันก็จะอร่อยขึ้น รสชาติมันจะเยอะขึ้น ผมไม่เข้าใจว่าจะไม่เข้าใจมันทำไม สิ่งที่ขวางหน้าอยู่ทุกวัน ถ้าเข้าใจแล้วมันจะไม่น่าตกใจเท่าไร ถ้าอยู่ร้านอาหารแล้วเด็กเสิร์ฟทำหน้าที่ไม่ดี เราเห็นเขาอายุ 24 เราอาจเข้าใจได้ว่าเขาคงไม่อยากเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่มั้ง เขาคงอยากทำอย่างอื่นมั้ง เราก็จะไม่ นี่---น้องๆ อย่างนั้นอย่างนี้ แต่จะ เออ---กูเข้าใจ กูเป็นมึงกูก็ไม่อยากมานั่งเปลี่ยน เพราะขอไข่ต้มไม่ได้ขอไข่ดาวอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องมีอคติกับเขา เราพยายามเข้าใจตัวเอง เข้าใจลูก เข้าใจเมีย เข้าใจแม่ยาย เข้าใจแม่ตัวเอง เข้าใจคนอื่น มันไม่ร้อยเปอร์เซนต์ แต่มันก็ดีกว่าไม่สนใจอะไรเลย
…คนที่ผมเจอแล้วผมไม่ชอบ ไม่ได้ขยะแขยง แต่จะไม่ชอบ คือคนที่ดูเหมือนไม่สงสัยอะไรเลย คนที่ตายด้านต่อศิลปะ หรือความรู้ แล้วทุกอย่างก็คือ mainstream บริโภคนิยม อันนั้นคือน่าเบื่อมากๆ แบบเรามองออกว่า นี่มึงครบสูตรครบชุดมาจากที่ไหนสักที่หนึ่ง เมืองนอกก็เป็น เหมือนมึงยกชุดมาวันนี้มึงจะเป็นอันนี้ ยกชุดมาเลยทั้งความคิดทั้ง attitude แต่คุณไม่ได้เข้าใจมันเลย เหมือนเจอฮิปฮอปจริงกับฮิปฮอปปลอม หรือเจอคนที่น่าจะคลาสสิกมาก แต่ไม่รู้จักเพลงคลาสสิกเลย มันก็แปลกนะ ที่คุณอยู่วงการนี้แล้วไม่คิดจะเข้าใจอะไรมากกว่านี้
…มันมีเมืองหนึ่งที่ชายแดน ไม่บอกว่าเมืองไหน แต่มันเป็นระหว่างประเทศ แล้วในนั้นก็จะมีพวกโรงแรม แล้วก็สถานที่บันเทิง แล้วก็มีบ่อนอะไรต่างๆ พนักงานทุกคนที่อยู่ในนั้น ไม่มีใครมาจากที่นั่นเลย ไม่รู้มาจากไหน เพราะว่าเขาก็พูดภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นพม่าก็ได้ ฟิลิปปินส์ก็ได้ คนมาเที่ยวก็มาจากไหนไม่รู้ มาจากจีน หรือมาเลเซีย เพลงที่ฟังอยู่ก็เป็นเพลงจากไหนก็ไม่รู้ สถาปัตยกรรมของตึกก็คือเป็นที่ไหนก็ได้ มันไม่ใช่ที่ไหนเลย แล้วมันไม่มีความสวยงามอะไร ผมว่าน่ากลัว เวอร์ชันหรูของมันก็คือล็อบบี้ดิวตี้ฟรีในสนามบินสักแห่งในโลก มันก็คือพวกกระเป๋า พวกของหรูหรา ทั้งๆ ที่ มันเป็นของหรูหราเฉพาะถ้าคนทุกคนไม่มี พอมีกันหมด มันหมดความหรูแล้ว เบนซ์ใครๆ ก็ผ่อนได้ ใครๆ ก็ซื้อได้ แล้วมันหรูตรงไหน มันแตกต่างตรงไหน ผมไม่รู้ผมหลุดจาก matrix ตรงนี้หรือเปล่า แต่มันไม่ชักชวนใจผมเลย เรื่องพวกนี้ผมไม่เก็ท อะไรที่มันปลอมล้วนๆ แล้วไม่มีฟังก์ชัน ไม่มีที่มา
…แต่เอาเข้าจริง คนพวกนั้นอาจเป็นคนที่เอาตัวเองออกจากเกมแล้ว คนที่น่าสนใจจริงๆ มักจะเป็นพวกบ้าๆ ที่หมกมุ่นกับอะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น คนที่เพาะพันธุ์ด้วง ปลูกไม้ไผ่ หรือกำลังสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังนั้นถ้าคนทั่วไปเขาจะไม่สนใจอะไรก็ปล่อยไป ขอแค่แบบไม่มาวุ่นวาย มันก็ไม่ผิดหรอก ที่จะใช้ชีวิตแบบเดินเหม่อๆ แล้วก็รู้อะไรบ้างไม่รู้อะไรบ้าง ดูหนังยอดมนุษย์ไป แล้วก็ซื้อของที่มีแต่โลโก้ที่ทุกคนเขามี ทำทุกอย่างที่เหมือนกันหมด ถ้ามันทำให้สบายใจ ก็ทำไปเถอะ ถ้าเป็นไปได้ก็หาวิธีปรับบริโภคนิยมให้มันมีภัยต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่านี้หน่อย แต่ไม่ได้มันก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคุณชอบอะไรแบบ ‘นอร์มคอร์ (normcore)’ ก็เอาเลย ไม่ใช่ทุกคนต้องเป็นของพิเศษ มันก็เป็น substrate ไป ก็เป็นหิน เป็นดินไป บางคนก็อาจจะเป็นต้นไม้ดอกไม้ บางคนเป็นเชื้อรา บางคนเป็นภัยสังคม”
ชัยชนะเล็กๆ
ท่อนหนึ่งของเพลงดำสนิทซึ่งฮิวโก้บอกว่าเป็นจดหมายถึงแฟนเพลงมีอยู่ว่า “ทุกคนเห็นกันไปคนละทาง สิบคนสิบทางยังเถียงไม่จบ ก็เป็นไปตามระบบ…คนเราเกิดมาเป็นผ้าขาว สะสมรอยยับรอยเปื้อนจนเก่า จนมันเป็นสีเทา จนมันดำสนิท” ซึ่งในแง่หนึ่งอาจแปลได้ว่าการต่อสู้ของแนวคิดหลากสีในสังคม สุดท้ายล้วนเดินทางไปสู่สีเดียวกันที่จุดจบอันดำสนิท และอาจเป็นด้วยเหตุนั้นเอง แม้มีความคิดที่ดูเหมือนเอกเทศแข็งกร้าวในหลายเรื่อง สุดท้ายฮิวโก้ค่อนข้างจะมีมุมมองที่ผ่อนคลายต่อชีวิตส่วนตัว อย่างที่เขาสรุปว่าเขา “อยู่เพื่อชัยชนะเล็กๆ” ในแต่ละวันเท่านั้น
“พอเห็นลูกเราทำตัวแบบมาตรฐานค่อนข้างสูง ทำตัวดีๆ หน่อย หรือทำอะไรที่เราเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ในห้อง เห็นเขาน่ารักกับน้อง ได้ยินคนอื่นเล่ามาว่าลูกเราไปบ้านเขาแล้วทำตัวดี เราก็โอย---ชื่นใจมาก อันนี้คือชัยชนะ แล้วก็พอเจอแฟนเพลง หลายๆ คนก็จะมอบชัยชนะเล็กๆ ให้ ถ้าเรารู้สึกว่าเขาได้เสพงานอย่างที่เราตั้งใจ เข้าใจจุดนี้ เข้าใจประเด็นที่ผมพยายามจะพูด ในขณะที่บางครั้งเราให้สัมภาษณ์อะไรไป โอย---เป็นเรื่องใหญ่ อย่างกับเราคืออุปสรรคต่อความเจริญของประเทศ แต่เอาเป็นว่าส่วนมากชัยชนะเล็กๆ ก็จะมาจากสายงานแล้วก็ครอบครัว
...แต่เราไม่ได้อยู่เพื่อที่จะแฮปปี้ตลอดเวลา หรืออินตลอดเวลา เราแค่เข้าใจหน้าที่ตัวเองในแต่ละกรณีก็น่าจะดีที่สุด ตอนนี้เราเป็นพ่อ มันก็ชัดเจนมากว่าหน้าที่ควรจะเป็นอะไร เป็นผัว หน้าที่ก็ชัดเจนมาก เป็นนักร้อง เป็นหัวหน้าวง เป็นโปรดิวเซอร์ เป็นอะไรก็ตามที่เรากำลังทำอยู่ ตอนนี้เรากำลังขับรถ เราต้องไม่ชนใคร ตอนนี้เรากำลังไปสนามบิน เราต้องถึงตรงเวลาเพราะว่าผู้โดยสารที่ดีต้องเช็คอินสองชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่อง อะไรอย่างนี้ มันค่อนข้างจะอยู่กับเป้าหมายระยะประชิด แล้วนอกจากนั้นก็คือนั่งลับดาบ รอคำสั่งว่าเมื่อไรจะได้ฆ่า
…หนังสือเรื่อง ‘มูซาชิ’ เป็นหนังสือที่ดีที่สุด เพราะว่าบทเรียนของมันจริงที่สุดเลย คือหนึ่ง ดาบที่ดีที่สุด คือดาบที่คุณมี แล้วบางทีอาวุธที่ดีที่สุดก็ไม่ใช่ดาบ อย่างตอนจบ มูซาชิชนะด้วยไม้พายเรือ เพราะว่าไม้พายเรือยาวกว่าดาบของอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักดาบที่เก่งที่สุด จำชื่อไม่ได้แล้ว คนนี้เก่งและเร็วมากจนเวลาพวกนกนางแอ่น นกนางนวล หรือค้างคาวบินผ่าน เขาปาดแล้วก็สามารถฆ่ากลางอากาศได้เลย แล้วเขาก็มีดาบที่ยาวมาก ถ้าสู้กันดูแล้วยังไงมูซาชิก็ต้องตายแน่ เพราะดาบของมูซาชิมันเป็นดาบคาตานะขนาดกลางเฉยๆ ดังนั้น พอนัดพบ มูซาชิก็ไปถึงล่วงหน้าแล้วฝึกกับไม้พายเรือที่ยาวเป็นบ้า ปรากฏว่าพอนักรบคนนั้นมาพบกัน ยังไม่ทันตั้งท่า มูซาชิก็เอาไม้พายเรือฟาดหัวคนนั้นตายทันทีเลย เขาฟาดเร็วจนไอ้คนนั้นตายโดยยังมีรอยยิ้มอยู่ที่ปากว่ากูต้องชนะแน่ๆ เลยวันนี้
...ที่สุดแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับดาบเลย ก่อนหน้านั้น มูซาชิเป็นวัยรุ่นบ้าบิ่นที่อยากจะเป็นนักรบ ตื่นขึ้นมาบนสนามรบแล้วก็อยากจะเป็นซามูไร อยากจะเป็นนักดาบ แต่เขาเป็นไพร่ ไม่มีวินัย ไม่ได้มีการฝึกฝน ไม่ได้มีชาติตระกูล เป็นแค่โจรกระจอก จนวันหนึ่งเขาถูกพระมัดตัวขังไว้ ฝึกให้อ่านหนังสือ ให้มีวินัย แล้วจากนั้นชีวิตก็บังคับให้เขาต้องมาเลี้ยงเด็ก ต้องมาดูแลผู้หญิงที่ไม่ใช่เมียตัวเอง ต้องมาเทคแคร์คนแก่ ต้องมาทำนา ต้องป้องกันตัวจากโจร จนวันหนึ่งเขาเป็นนักดาบที่เก่งที่สุดในทั้งญี่ปุ่น เพราะว่าเขาเข้าใจโลก เขาเข้าใจเรื่องอื่น คนอื่นมัวแต่ไปหมกมุ่นกับการเป็นนักดาบ การเป็นซามูไร การเป็นเจ้า การเป็นอะไร แต่มูซาชิไม่ได้มีโอกาสที่จะคิดแบบนั้น
...เขาเป็นคนที่เริ่มใช้ดาบสั้น ซึ่งก็ไม่เคยมีใครคิดจะใช้ เพราะมันผิดมารยาท เขาสร้างสไตล์การต่อสู้ขึ้นมาใหม่ แต่เรื่องการต่อสู้มันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือใจ เขาเข้าใจและยอมรับ และไม่ติดอยู่กับ ideology ของดาบเลย เขาถึงใช้ไม้พายเรือได้ แล้วที่สำคัญมันสอนว่าการเป็นนักดาบที่ดีคือการเป็นคนที่มีเมตตา ไม่ใช่คนที่ฆ่าคน ใครๆ ก็ฆ่าคนได้ ผมกับพี่แอ๊ดชอบหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน แล้วพี่แอ๊ดก็แต่งเพลงๆ หนึ่งที่อยู่ในอัลบั้มสิบล้อ ชื่อเพลงนักดาบ ก็สรุปความของมูซาชิได้ดี ลองไปฟังดู”
การสัมภาษณ์เสร็จสิ้นเมื่อย่างเข้ายามเย็น ฮิวโก้เปิดโอกาสให้ทุกคนถ่ายรูปอย่างเต็มที่แล้วก็ขอตัวกลับบ้านไปอย่างแทบไม่มีพิธีรีตองนอกจากการยกมือโบกสั้นๆ กลางอากาศ ชุดคาวบอยและอิริยาบถรวบรัด ทำให้อดนึกไม่ได้ถึงฉากจบหนังตะวันตกโบราณที่ตัวเอกจะขึ้นขี่ม้าหายไปในแสงสีทองของอาทิตย์อัสดง ฮิวโก้หายไปแล้ว แต่หลายๆ คำตอบของเขายังคงกรีดลึกให้ต้องคิดตาม
“นักฆ่าฆ่าคนด้วยดาบ แต่นักดาบชนะคนด้วยใจ ลับดาบให้คมไม่ง่าย แต่ลับใจให้คมยากกว่า” เสียงเพลงดังขึ้นเมื่อกลับมาเปิดเพลง ‘นักดาบ’ ที่บ้าน
เป็นไปได้ว่าเราโดนดาบเข้าแล้วโดยไม่รู้ตัว ■