SECTION
ABOUTINVESTMENT REVIEW
ควรทำอย่างไรเมื่อตลาดเกิดความผันผวน
ต้องยอมรับนะครับว่าบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้มีความผันผวนสูงขึ้นมากนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่อาจจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวเริ่มมีมากขึ้น จากความกังวลต่อสัญญาณเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน
เรียกว่าตั้งแต่ตลาดหุ้นจีนเริ่มปรับตัวลดลงแบบถล่มทลาย และจีนประกาศลดค่าเงินแบบช็อกโลก 3 วันติดเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกก็เริ่มจะอยู่ไม่ติดขึ้นลงหวือหวากัน วันละ 3-5% แบบที่เห็นกันไม่บ่อยนักถ้าไม่ใช่ช่วงเกิดวิกฤต ความผันผวนของตลาดหุ้นใหญ่อย่างสหรัฐฯ พุ่งขึ้นไปที่ระดับพอๆ กับช่วงเกิดวิกฤตหนี้สาธารณะของประเทศในยุโรปเมื่อปี 2011 ทั้งๆ ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิดวิกฤตในระดับเดียวกันเลย
ดูเหมือนว่า ตลาดกำลังตั้งคำถามว่า ถ้าจีนและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเริ่มจาม ประเทศที่รอออกจากโรงพยาบาลอย่างสหรัฐฯ และประเทศที่นอนรักษาตัวอยู่อย่างประเทศในยุโรป และญี่ปุ่น จะกลับมาป่วยหนักขึ้นหรือไม่
ปัจจุบันประเทศกำลังพัฒนามีสัดส่วนเศรษฐกิจกว่า 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก (เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับสมัยไทยเกิดวิกฤต ปี 1997) และนับเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกในทศวรรษที่ผ่านมา สุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาจึงเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ด้วยราคาหุ้นทั่วโลกที่ต้องยอมรับว่าไม่ถูกนักก่อนหน้านี้ทำให้ตลาดรับข่าวร้ายอย่างค่อนข้างรุนแรง ยิ่งมีความไม่แน่นอนเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ มาผสมโรงอีก ตลาดยิ่งแกว่งหาทิศทางกันไม่ค่อยถูก
สินทรัพย์อย่างหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาว แต่ผลตอบแทนที่สูงก็มากับความผันผวน นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับเป้าหมายการเติบโตของสินทรัพย์ระยะยาว และในขณะเดียวกันก็ตรวจดูความเสี่ยงของพอร์ตตนเองด้วย
ความผันผวนและความเสี่ยง เป็นของคู่กับผลตอบแทนจากการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวค่อนข้างดี แต่ก็มาพร้อมๆ กับความเสี่ยงที่สูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ความผันผวนครั้งนี้คงเป็นเรื่องธรรมดา และอยู่ในระดับที่รับได้สำหรับนักลงทุนที่ได้เตรียมพร้อม กระจายความเสี่ยง และมีพอร์ตที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับตัวเองอยู่แล้ว
แล้วนักลงทุนควรทำอย่างไรกับภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้?
1. ตรวจดูการจัดสรรเงินลงทุนและความเสี่ยงของพอร์ต อย่างแรกที่นักลงทุนควรทำ คือตรวจดูการกระจายเงินลงทุนของตัวเอง ว่าอยู่ในสินทรัพย์ใดบ้าง (หุ้น พันธบัตร เงินสด และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ) มีนํ้าหนักเท่าใด มีระดับความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เหมาะสมที่ท่านรับได้และสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนระยะยาวหรือไม่ ความผันผวนที่ผ่านมาเป็นเครื่องวัดที่ดีว่าพอร์ตของท่านอยู่ในระดับที่เสี่ยงเกินไปหรือไม่
2. ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว มากกว่าความผันผวนระยะสั้น บางครั้งการติดตามข่าวความผันผวนมากเกินไป อาจจะทำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับความผันผวนของหุ้นบางตัว มากกว่าผลตอบแทนรวมของพอร์ต และเป้าหมายการลงทุนระยะยาวอย่างที่บอกครับ สินทรัพย์อย่างหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาว แต่ผลตอบแทนที่สูงก็มากับความผันผวน นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับเป้าหมายการเติบโตของสินทรัพย์ระยะยาว และในขณะเดียวกันก็ตรวจดูความเสี่ยงของพอร์ตตนเองด้วย
3. กระจายความเสี่ยง ในภาวะที่มีความผันผวนสูง การกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องจำเป็น การมีสินทรัพย์หลายๆ ประเภทที่ไม่ขึ้นลงพร้อมกัน ช่วยพยุงมูลค่าของเงินลงทุน และเปิดโอกาสรับผลตอบแทนได้ในเวลาเดียวกัน เช่นในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับลดลงค่อนข้างมาก พันธบัตรและเงินสดจะได้รับผลกระทบน้อยกว่ามาก ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวม และในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่า การมีเงินลงทุนในต่างประเทศก็ช่วยลดผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง
แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่า ในช่วงวิกฤต ดูเหมือนสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภทจะขึ้นลงพร้อมๆ กัน ทำให้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงลดลงไปบ้าง
4. ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป (แต่ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย) เมื่อมีข่าวความผันผวนของตลาดอาจจะทำให้นักลงทุนอยากเทขายทุกอย่างที่มี แต่การขายหุ้นในวันที่ตลาดตกหนักๆ (และกลับไปซื้อคืนตอนตลาดขึ้นกลับไปแล้ว) มักเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอยู่บ่อยๆ การหาข้อมูล วิเคราะห์ผลกระทบต่อการลงทุนอย่างมีเหตุผล และตัดสินใจอย่างมีสติเป็นสิ่งจำเป็นในภาวะตลาดผันผวน
5.หาโอกาสจากความผันผวน ทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ ราคาหุ้นที่ลดลงในภาวะตลาดตื่นตระหนก อาจเป็นโอกาสให้นักลงทุนที่รอจังหวะอยู่ สามารถซื้อหุ้นพื้นฐานดีในดวงใจ หรือลงทุนในตลาดหุ้นที่ชอบได้ในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น
สำหรับนักลงทุนที่จัดพอร์ตแบบกระจายสินทรัพย์อยู่แล้ว ช่วงที่ราคาผันผวนมากๆ อาจเป็นโอกาสในการปรับพอร์ต เช่น ซื้อหุ้นที่ราคาปรับลดลงมามากๆ แต่เรายังมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานอยู่ และการขยับอาจจะทำในวันที่ตลาดเริ่มนิ่งแล้วก็ได้ เพราะไม่จำเป็นที่เราต้องซื้อหุ้นที่จุดตํ่าที่สุดพอดี และไม่มีใครคาดการณ์ตลาดในระยะสั้นได้
ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนควรทำคือพยายามหาข้อมูล และพยายามหาข้อสรุปเรื่องมุมมองการลงทุนและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างมีสติ ให้เหมาะสมกับมุมมองการลงทุนของเราโดยยึดเป้าหมายการลงทุนระยะยาว ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เรารับได้เป็นหลักไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ตลาดจะขึ้นหรือจะลง แต่การวางแผนการลงทุนอย่างมีสติ เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน และระดับการรับความเสี่ยงของเราเองเป็นเรื่องสำคัญมาก
ผมเชื่อว่า การจัดสรรเงินลงทุนและการกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดผลกระทบต่อเงินลงทุนของท่านได้ครับ   ขอให้ทุกท่านโชคดีและสนุกกับการลงทุนครับ ■