HOME ISSUE

SECTION

ABOUT

INVESTMENT REVIEW


Disruptive Technology กับการลงทุน [2]

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และ หัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล สายงานลูกค้าบุคคล
บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)


ในอนาคต โรงไฟฟ้าอาจกลายเป็นเพียงแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าสำรอง และยิ่งถ้าเทคโนโลยีแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาจนราคาถูกลงมากๆ เราอาจจะสามารถผลิต เก็บ และนำกระแสไฟฟ้ากลับมาใช้ใหม่โดยไม่ต้องง้อโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกเลยก็เป็นได้

     ในตอนที่แล้วผมพูดถึง ‘disruptive technology’ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ส่งผล กระทบอย่างรุนแรงต่อผลิตภัณฑ์และตลาดแบบเดิมๆ จนทำให้ผลิตภัณฑ์และตลาดของสินค้าและบริการหลายประเภทล้มหายตายจากไปต่อหน้าต่อตา (ไม่ว่าจะเป็นกล้องฟิล์ม เทป ซีดีเพลง โทรศัพท์บ้าน ฯลฯ)

     ในอนาคตอันใกล้ ด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและ ต่อเนื่อง เราคงพอคาดเดากันได้ว่าจะมีสินค้าและบริการ ตลอดจนรูปแบบของตลาดที่จะเปลี่ยนไปอย่างมาก นักลงทุนควรจับตาดูการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ไว้ให้ดีนะครับ เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม บริษัท ทางเลือกในการลงทุน และชีวิตของเราอย่างมหาศาล

     ลองมาดูกันดีกว่าครับว่า ด้วยความรู้ที่เรามีอยู่ตอนนี้ เราเห็นอะไรที่มีโอกาสเป็น disruptive technology ได้บ้าง ผมขอยกตัวอย่างที่น่า จะมีผลกระทบต่อเราอย่างเห็นได้ชัดมาสัก 3 เทคโนโลยีนะครับ

     เทคโนโลยีแรก คือพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์ ที่กำลังจะเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจและวิธีคิดเกี่ยวกับพลังงานในอนาคตอันใกล้ จากเดิมเวลาเราคิดถึงการผลิตกระแสไฟฟ้า เรามักจะคิดถึงโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างถ่านหินและ ก๊าซธรรมชาติในการผลิต หรืออาจจะนึกถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำหรือโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ที่มีต้นทุนการสร้างค่อนข้างสูง และมีต้นทุนแปรผันจากต้นทุนเชื้อเพลิง และส่งไฟฟ้าตามสายส่งไฟฟ้าแรงสูงมาแตกเป็นระบบสายส่งก่อนส่งต่อไปยังบ้านเรือนหรือธุรกิจ

     แต่เทคโนโลยีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีราคาถูกลงเรื่อยๆ และมีต้นทุนแปรผันที่เป็นศูนย์ กำลังทำให้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่เริ่มสามารถแข่งขันในด้านราคากับพลังงานที่มาจากแหล่งอื่นๆ ได้ การกระจายการผลิตพลังงาน (แทนที่จะเป็นการรวมศูนย์การผลิตไว้ที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่) กำลังจะเป็น disruptive technology เหมือนกับที่อินเทอร์เน็ตเคยเปลี่ยนโลกมาแล้ว

     ในหลายประเทศ การติดตั้งแผงผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน อาคารสำนักงาน หรือโรงงาน กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะต้นทุนที่ต่ำลงและคืนทุนเร็ว ที่สำคัญคือทำให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ใกล้กับแหล่งที่ใช้พลังงาน ความจำเป็นที่จะมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และสายส่งที่มีต้นทุนสูงอาจลดน้อยลงเรื่อยๆ อย่างในเยอรมนี มีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มากจนในบางช่วงราคาไฟฟ้าถึงขั้นติดลบ (กล่าวคือ ผู้ใช้ไฟได้รับเงินเพื่อให้ใช้กระแสไฟฟ้า!)

     การมองพลังงานแสงอาทิตย์เป็น ‘พลังงานทดแทน’ หรือพลังงานที่ต้องได้รับการอุดหนุนจึงกำลังจะเป็นเรื่องล้าสมัย ในไม่ช้าแม้แต่ในประเทศไทย ถ้าประชาชนสามารถขายไฟที่ผลิตออกมาเกินความจำเป็นในการใช้สำหรับที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างเสรี (แม้จะไม่ต้องมีการอุดหนุนก็ตาม) เราอาจจะเริ่มเห็นคนหันมาติดแผงผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์กันมากขึ้นเรื่อยๆ และในอนาคต โรงไฟฟ้าอาจกลายเป็นเพียงแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าสำรอง และยิ่งถ้าเทคโนโลยีแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาจนราคาถูกลงมากๆ เราอาจจะสามารถผลิต เก็บ และนำกระแสไฟฟ้ากลับมาใช้ใหม่โดยไม่ต้องง้อโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกเลยก็เป็นได้ พอจะเริ่มนึกภาพออกไหมครับ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกในอนาคต

     เทคโนโลยีอีกประเภทหนึ่ง คือ รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเริ่มเห็นนำมาใช้จริงบนท้องถนนแล้ว จริงๆ แล้วรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ และการพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้ามีมานานจนมีประสิทธิภาพสูสีหรือกระทั่งแซงหน้าเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันแล้ว แต่อุปสรรคใหญ่ของการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ ซึ่งที่ผ่านมายังคงมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก ทำให้รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าวิ่งไปได้ไม่ไกลด้วยตัวมันเอง การพัฒนารถยนต์แบบไฮบริดจึงเป็นที่นิยมในช่วงที่ผ่านมา และทำให้อัตราการใช้น้ำมันของรถยนต์ลดลงไปได้พอสมควร

     จนเมื่อไม่นานมานี้ การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่เริ่มดีขึ้น Tesla กลายเป็นรถยนต์ยี่ห้อใหม่ที่ดังเป็นพลุแตก จนผลิตกันแทบไม่ทัน เนื่องด้วยเป็นรถยี่ห้อแรกๆ ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าต้นทุนการใช้และดูแลรักษาถูกกว่าและทนทานกว่ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบเดิม

ยุคหินไม่ได้สิ้นสุดลงเพราะหินหมด และยุคของการพึ่งพาพลังงานจากน้ำมัน อาจจะสิ้นสุดลงก่อนน้ำมันจะหมดโลก

ระบบขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าที่อาจเป็นไปได้ในอนาคต

     เป็นไปได้อย่างมากว่าในอนาคตอันใกล้ ถ้าเทคโนโลยีแบตเตอรี่พัฒนาไปไกลขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ลิเทียมหรือใช้เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนแบบที่ญี่ปุ่นกำลังพัฒนา หรือเทคโนโลยีแบบอื่นๆ รถยนต์ที่ใช้น้ำมันอาจจะถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเกือบทั้งหมด เหมือนกับที่กล้องดิจิตอลมาแทนที่กล้องฟิล์ม หรืออย่างในอดีตที่รถยนต์ใช้น้ำมันเข้ามาแทนที่รถม้ามาแล้ว นอกจากนี้ เราอาจจะได้เห็นรถยนต์ไร้คนขับ ที่อาจจะมาเปลี่ยนรูปแบบการใช้รถยนต์แบบเดิมๆ ก็เป็นได้

     ประเด็นที่น่าขบคิดต่อก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่ได้ชื่อว่า Detroit of Asia อย่างบ้านเราซึ่งเป็นแหล่งประกอบรถยนต์ที่สำคัญของโลก รถยนต์ในปัจจุบันมีส่วนประกอบที่ซับซ้อน ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากการเป็นแหล่งรวมการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ จึงมีผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากได้รับประโยชน์ แต่ในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องการเพียงระบบสำคัญๆ อย่าง ระบบขับเคลื่อน แบตเตอรี่ ระบบควบคุม และระบบช่วงล่าง ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ผลิตฝาสูบ หม้อน้ำ น้ำมันเครื่อง สายพานและชิ้นส่วนอื่นๆ หรือธุรกิจปั๊มน้ำมันจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างไร? น่าคิดนะครับ

     แล้วก็น่าคิดต่อว่าทั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และรถไฟฟ้า อาจจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงอย่างมากในโลกอนาคต และอาจจะเป็นการตอกย้ำคำกล่าวที่ว่า “ยุคหินไม่ได้สิ้นสุดลงเพราะหินหมด และยุคของการพึ่งพาพลังงานจากน้ำมัน อาจจะสิ้นสุดลงก่อนน้ำมันจะหมดโลก” รูปแบบธุรกิจและการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องอาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในอีกไม่กี่ปีจากนี้

     เทคโนโลยีที่สามคือเทคโนโลยีการเงิน หรือ ‘fintech’ ที่เราได้ยินกันบ่อยขึ้นมากในช่วงหลังๆ ด้วยการพัฒนาด้านเทคโนโลยีด้านต่างๆ โมเดลธุรกิจการเงินแบบเดิมๆ กำลังถูกสั่นคลอนในหลายมิติ

     ต้นทุนธุรกรรมทางการเงินและข้อมูลที่ถูกลงเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กำลังทำให้รูปแบบของธนาคารเปลี่ยนไป เส้นแบ่งในธุรกิจภาคการเงินกำลังเลือนลางลงเรื่อยๆ ผู้เล่นรายใหม่ๆ จากหลากหลายอุตสาหกรรมกำลังเข้ามาสู่ธุรกิจการชำระเงินที่ครั้งหนึ่งธนาคารเคยผูกขาด และต้นทุนในการเปลี่ยนค่ายธนาคารก็จะถูกลงเรื่อยๆ ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น ธุรกิจต่อเนื่องต่างๆ เช่น การซื้อขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เราเริ่มเห็นรูปแบบใหม่ๆ ในการระดม จัดสรร และติดตามการใช้ทรัพยากรทุน การพึ่งพาโมเดลธุรกิจสถาบันการเงินแบบเดิมๆ ลดน้อยลง และการพึ่งพาการใช้เงินสดก็คงถอยลงด้วย

     เราเห็นผู้เล่นใหม่ๆ ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีกำลังเข้ามากินส่วนแบ่งของธุรกิจการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงทุน การบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล การจัดการ supply chain หรือการจัดการการปฏิบัติงานหลังบ้านของสถาบันการเงิน เช่นการเคลียร์เช็คหรือการชำระบัญชี หรือแม้แต่บทบาทของธนาคารกลางก็อาจจะถูกสั่นคลอนได้ในอนาคต ถ้าเงินที่ธนาคารกลางพิมพ์ออกมาถูกท้าทายโดยเงินตราสกุลใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี

     นอกจากที่ผมยกตัวอย่างมา ก็ยังมีอีกหลายเทคโนโลยีนะครับที่อาจจะนับได้ว่าเป็น disruptive technology ในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็น 3D printing เทคโนโลยีหุ่นยนต์ในการผลิต การประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบ cloud หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นพร้อมกับอินเทอร์เน็ตซึ่งได้รับการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง แต่แนวโน้มสำคัญที่เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังทำให้เกิดขึ้นนั้น ได้แก่ การลดต้นทุน การลดความไม่มีประสิทธิภาพของระบบ การแบ่งปันทรัพยากร และการลดการรวมศูนย์ลง

     แต่น่าสังเกตนะครับ ว่าทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในตลาด ผู้เล่นเจ้าตลาดรายเดิม ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ใช้จำนวนหนึ่งอาจจะตอบสนองด้วยการปฏิเสธและปกป้องสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีต หรือพยายามกีดกันไม่ให้เทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นได้ หรือปักใจเชื่อไว้ก่อน ว่าความเปลี่ยนแปลงคงไม่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการพึ่งพาเทคโนโลยีแบบเก่ามานานจนไม่กล้าจะเสี่ยงย้ายทรัพยากรจากผลิตภัณฑ์เดิมๆ มายังผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่พอสมควร

     แต่สุดท้าย เราก็มักจะต้านทานกระแสของการเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ และคงต้องเลือกว่าจะล้มหายตายจากไปพร้อมกับเทคโนโลยีเก่าหรือจะยอมเปลี่ยนแปลงและเกาะไปกับกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่มีความไม่แน่นอนดังกล่าว

     นักลงทุนเองก็คงต้องอ่านกระแสของการเปลี่ยนแปลงให้ออก และเลือกลงทุนในธุรกิจที่เหมาะสม มีผู้บริหารที่ยืดหยุ่น และปรับตัวได้ดีกับการเปลี่ยนแปลง ส่วนการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนยังคงเป็นเรื่องสำคัญในสภาวการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนครับ