HOME ISSUE

SECTION

ABOUT

ECONOMIC REVIEW


ลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคสมองเสื่อม

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ที่ปรึกษา
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร


ปี 2020 ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แปลว่าเราแก่ตัวลงไปอีกหนึ่งปี ซึ่งสำหรับผู้สูงอายุเช่นผมนั้นเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่สำคัญมากขึ้นไปอีกในชีวิตคือการมีสุขภาพที่ดีซึ่งนับวันจะเป็นสิ่งมีค่าที่เราจะมีเหลืออยู่น้อยลงไปทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราไม่ดูแลสมบัติสำคัญชิ้นนี้ให้ดีที่สุด

โรคของคนแก่ที่รักษายากที่สุดคือโรคสมองเสื่อม (dementia) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคอัลไซเมอร์ โรคนี้ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1906 และแม้ว่าผ่านมาแล้ว 115 ปี แต่ปัจจุบัน มียาบำบัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเพียง 5 ตำรับเท่านั้นและจากรายงานต่างๆ ที่ผมอ่านพบก็อธิบายว่ายาดังกล่าวนั้นเพียงแต่ชะลอพัฒนาการของโรคนี้ได้เพียง “ไม่กี่เดือน” (“all of which typically delay decline for only several months” จากบทความในนสพ.นิวยอร์กไทมส์ 6 พฤศจิกายน 2020 เรื่อง FDA Panel Decline to Endorse Controversial Alzheimer’s Drug)

ผมเล่าเรื่องนี้เพราะว่าในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีความตื่นเต้นอย่างมากในตลาดหลักทรัพย์ที่สหรัฐฯ เกี่ยวกับข่าวที่คาดเดาว่าคณะผู้เชี่ยวชาญ 11 คนของสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ อาจจะลงมติว่ายาตำรับใหม่ของบริษัท Biogen ชื่อว่า Aducanumab นั้นมีประสิทธิผลในการยับยั้งพัฒนาการของโรคอัลไซเมอร์ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ข่าวดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นของบริษัท Biogen ปรับขึ้นไปกว่า 40% Aducanumab นั้นไม่ได้มีประสิทธิผลมากนัก กล่าวคือผลการทดลองขั้นที่ 3 (phase 3 trial) ที่ดำเนินการพร้อมกัน 2 การทดลองนั้นปรากฏมีเพียงการทดลองเดียวที่ประสบความสำเร็จและความสำเร็จที่ว่านี้ก็มีขอบเขตที่จำกัดอย่างมากคือทำให้การเสื่อมตัวของสมองของผู้ป่วยชะลอลงไป 23% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้รับยาดังกล่าว กล่าวคืออาจชะลอการเสื่อมของสมองลงไป 7 เดือนในช่วงเวลา 18 เดือน (“Aducanumab might prolong decline in a person’s daily functional ability by 7 months in an 18 months period”)

โรคของคนแก่ที่รักษายากที่สุดคือโรคสมองเสื่อม (dementia) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคอัลไซเมอร์ โรคนี้ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1906 และแม้ว่าผ่านมาแล้ว 115 ปี แต่ปัจจุบัน มียาบำบัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเพียง 5 ตำรับเท่านั้น

ยา Aducanumab นั้นราคาแพงมาก จะต้องให้ยาผ่านเส้นเลือดทุกเดือนราคา 50,000 เหรียญ (กว่า 1.5 ล้านบาท) ต่อปี แต่ก็คงจะมีความต้องการใช้ยานี้อย่างมากเพราะยาปัจจุบันมีประสิทธิผลน้อยกว่ายาตำรับนี้ สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ในอเมริกานั้นมีอยู่ประมาณ 6 ล้านคนและทั่วโลกประมาณ 30 ล้านคน ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยโรคนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว (60 ล้านคน) ในปี 2050

ข่าวร้ายคือคณะผู้เชี่ยวชาญ 11 คนดังกล่าวมีมติหลังจากพิจารณาหลักฐานต่างๆ และประชุมปรึกษาหารือกันเป็นเวลา 7 ชั่วโมงว่า ไม่พบหลักฐานว่า Aducanumab มีประสิทธิผลในการชะลออาการป่วยของโรคอัลไซเมอร์ ข้อเสนอแนะของคณะผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวทำให้ความเป็นไปได้ที่สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ จะขึ้นทะเบียนยาดังกล่าวลดลงอย่างมาก แต่ก็ยังอาจขึ้นทะเบียนยานี้ก็เป็นได้ เพราะมีการเรียกร้องอย่างมากจากกลุ่มผู้ป่วยและผู้ที่ดูแลผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ว่า “don’t let perfection be the enemy of the good” และ “after years of great disappointment in drug trials…as our minds decline, please offer us some hope”.

ในหนังสือ Healthy Always ที่ผมเขียนขึ้นมาใหม่ ผมได้เขียนถึงการลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคอัลไซเมอร์ในบทที่ 6 สรุปว่าเมื่ออายุสูงประมาณ 80 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์นั้นจะสูงถึง 30% แต่เมื่อรวบรวมงานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตให้สุขภาพดีนั้นจะทำให้สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ประมาณ 35% กล่าวคือจาก 30% เหลือ 19.5% ซึ่งก็ยังสูงอยู่ แต่ก็น่าจะถือว่าดีมากแล้วสำหรับโรคที่ไม่มียาตำรับใหม่ที่ได้รับการอนุมัติเพื่อรักษาโรคดังกล่าวมานานถึง 17 ปีแล้ว

พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตให้สุขภาพดีนั้นจะทำให้สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ประมาณ 35% กล่าวคือ จาก 30% เหลือ 19.5% ซึ่งก็ยังสูงอยู่ แต่ก็น่าจะถือว่าดีมากแล้ว

พฤติกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างมากในการดูแลสมองให้แข็งแรงอยู่เสมอนั้นย่อมมีความคล้ายคลึงกับการดูแลร่างกายโดยรวมให้สมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะสมองนั้นแม้จะมีน้ำหนักเพียงประมาณ 2% ของน้ำหนักตัว แต่ใช้พลังงานอย่างหนักประมาณ 20% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้ มีอีกเพียงอวัยวะเดียวที่ทำงานหนักเท่ากับสมองคือหัวใจ ที่มีน้ำหนักเท่ากับ 1% ของน้ำหนักตัว แต่ใช้พลังงานเท่ากับ 10% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้ สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างหัวใจกับสมองคือหัวใจนั้นต้องปั้มเลือดตลอดเวลาหยุดไม่ได้ (ชะลอลงได้บ้าง) แต่สำหรับสมองนั้นการพักผ่อนด้วยการนอนหลับลึก (deep sleep) ให้เพียงพอคือประมาณ 1 ชั่วโมงกับ 50 นาทีต่อคืนนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นช่วงที่ระบบ glympathic system ทำการชำระล้างหินปูน (plaque) ที่เรียกว่า amyloid beta ไม่ให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น (พร้อมกับโปรตีนที่เรียกว่า Tao) ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สมองเสื่อมและเป็นโรคอัลไซเมอร์

ปัจจัยที่สำคัญสำหรับสมองอีก 2 ปัจจัยคืองานวิจัยที่พบว่าการมีการศึกษาระดับสูงจะลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคอัลไซเมอร์ลงไปถึง 8% และเมื่อคำนึงว่าสมอง (และอวัยวะทุกประเภทของร่างกาย) นั้น ต้องได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยเลือดจากเส้นเลือด ดังนั้นการรักษาระบบการไหลเวียนของเลือดให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอย่อมจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสุขภาพของสมองให้สมบูรณ์ตลอดไป สำหรับผมนั้นนอกจากการไม่สูบบุหรี่โดยเด็ดขาดแล้ว การออกกำลังกายประเภทหายใจเร็ว (aerobics) สัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง ประมาณครั้งละ 1 ชั่วโมงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเพราะเป็นการดูแลให้หัวใจและเส้นเลือดแข็งแรงและยืดหยุ่น ทำให้เลือดไหลเวียนเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายอย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตให้สุขภาพดีตลอดไปครับ