SECTION
ABOUTBEYOND BOUNDARIES
จังหวัดเล็กๆแห่งนี้ อาจเป็นจุดหมายปลายทางชั้นยอดสำหรับหน้าหนาวที่ใกล้มาเยือน
ไปรู้จักดินแดนแห่งชุมชนคาทอลิกเก่าแก่ งานหัตถกรรม เนื้อโคขุน และบึงธรรมชาติตระการตาที่ซีเอ็นเอ็นยกให้เป็นสถานที่ต้องไปเยือน
แม้จะเป็นเวลา 6 โมงเช้า แต่เที่ยวบิน A320 ของสายการบินแอร์เอเชียจากกรุงเทพฯ สู่สกลนครกลับถูกจับจองเต็มทั้ง 150 ที่นั่ง ด้วยความที่สกลนครไม่ใช่ประตูสู่แดนอีสานเหมือนอย่างขอนแก่นและบุรีรัมย์ หรือทางหลวงสู่ประเทศลาวเหมือนอุดรธานี นครพนม และหนองคาย อีกทั้งยังตั้งอยู่ลึกขึ้นไปเกือบถึงพรมแดนลาว คนฟังอาจไม่เชื่อหู หากจะบอกว่าจังหวัดซึ่งมีประชากรเพียง 1.14 ล้านคนนี้ มีเที่ยวบินแน่นขนัดถึงวันละ 4 เที่ยว แต่นี่ก็เป็นเพราะสกลนครเก็บซ่อนของดีของตัวเองไว้อย่างแนบเนียน เพราะสำหรับผู้มาถึง จังหวัดนี้มีทั้งร่องรอยอารยธรรมขอมโบราณที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่รอบนอก ชุมชนคาทอลิกทางทิศเหนือของตัวเมือง ที่ชวนให้นึกถึงสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสอย่างในหลวงพระบางหรือเสียมเรียบ ตลอดจนมหาวิทยาลัยในจังหวัดทั้ง 3 แห่ง ที่กำลังขมักเขม้นทำงานร่วมกับเกษตรกร เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มุ่งหมายเป็นสินค้าที่ ‘ดีที่สุด’ ในราชอาณาจักร
ประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 3 พันปีของสกลนครเริ่มตั้งแต่มีการตั้งรกรากรอบทะเลสาบในฐานะส่วนหนึ่งของเมืองหนองหานหลวง ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรขอมโบราณ ตามมาด้วยการปกครองของอาณาจักรล้านช้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ก่อนจะมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ที่สกลนครได้กลายเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ฐานที่มั่นของพระธุดงค์สายกรรมฐานอย่างอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และอาจารย์ฝั้น อาจาโร ซึ่งพุทธศาสนิกชนยังคงศรัทธาเลื่อมใสจวบจนปัจจุบัน
แม้สกลนครจะเป็นดินแดนแห่งธรรมมะ แต่ผู้มาเยือนจะพบว่าการหาความสุขทางโลกก็สามารถทำได้เป็นอย่างดีที่นี่ เพราะนอกจากการเดินทอดน่องไปตามถนนที่ได้รับการวางผังอย่างดีในย่านชุมชนคาทอลิกแล้ว ผู้มาเยือนอาจแวะไปชิมของขึ้นชื่ออย่างเนื้อโคขุนโพนยางคำและน้ำหมากเม่า หรือใครที่ชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ก็สามารถแวะซื้อผ้าย้อมครามติดไม้ติดมือกลับไปด้วย วิถีชีวิตในสกลนครที่ขึ้นชื่อในเรื่องความ ‘สโลว์ไลฟ์’ แม้เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานด้วยกัน ถือว่าเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้แวะพักจากความวุ่นวายของเมืองหลวง
คนฟังอาจไม่เชื่อหู หากจะบอกว่าจังหวัดซึ่งมีประชากรเพียง 1.14 ล้านคนนี้
มีเที่ยวบินแน่นขนัดถึงวันละ
4 เที่ยว
ดินแดนแห่งศรัทธา
สกลนครเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม โดยประกอบไปด้วย 6 ชนเผ่าหลักๆ ได้แก่ ชาวไทอีสาน ภูไท ไทญ้อ กะเลิง กะโส้ และไทโย้ย แต่ในความเป็นจริง กลุ่มผู้อพยพจากลาวและเวียดนามเหล่านี้อาศัยอยู่ในตัวเมืองสกลนคร ภายใต้วิถีชีวิตที่รับเอาอิทธิพลมาจากคณะมิชชันนารีคาทอลิกชาวฝรั่งเศส มาเป็นเวลานานกว่า 130 ปีแล้ว
ทุกวันอาทิตย์ คริสตชนหลากเชื้อชาติจะมารวมตัวกันที่อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลที่สร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมโมเดิร์น เพื่อป่าวประกาศถึงการสถาปนาสังฆมณฑลท่าแร่หนองแสงเป็นอัครสังมณฑลในปีพ.ศ. 2508 โดยวิหารดูสวยแปลกตาด้วยเส้นโค้งขอบหลังคาที่ตัดกับเสาซี่เล็กดุจก้างปลา กระนั้น อิทธิพลฝรั่งเศสอาจสะท้อนได้ชัดเจนกว่าผ่านลักษณะผังเมือง และบ้านทรงโคโลเนียลเก่าแก่ในละแวกที่บางหลังอาจมีอายุกว่า 130 ปี
ภายใต้ผังเมืองรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสของหมู่บ้านท่าแร่ ซึ่งแบ่งชุมชนลาวออกทางทิศเหนือ และชุมชนไทยอีสานกับเวียดนามออกทางทิศใต้นั้น คือชุมชนที่มีความผูกพันแน่นแฟ้น หลังคุณพ่อซาเวียร์ เกโก นำชนกลุ่มน้อยทางศาสนาลงเรือมาถึงสกลนครในปี 2426 เขาและคุณพ่อยอแซฟ กอมบูริเออร์ เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดมหาพรหมมีคาแอลท่าแร่ ได้ใช้กิจกรรมของชุมชนสานสายใยระหว่างคนต่างชาติพันธุ์ได้อย่างประสบความสำเร็จดียิ่ง
ความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของคนในชุมชน คือสิ่งที่ดึงดูดชาวนครพนมโดยกำเนิดอย่างคุณพ่อเจริญโชค สันดี ให้ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่อัครสังฆมณฑลแห่งนี้ “คุณพ่อยอเซฟมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ท่านรู้ว่าต้องสร้างความสามัคคีโดยให้ชาวบ้านใช้เวลาวางแผนจัดงานทางศาสนาต่างๆ ร่วมกัน พวกเขาจะได้สนิทกันยิ่งขึ้น” คุณพ่อเจริญโชคเล่า
พิธีเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นเสมือนงานรื่นเริงสำหรับนักท่องเที่ยวที่เสาะหาประสบการณ์แปลกใหม่ งานบุญกองข้าวของท่าแร่ ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีนั้น เป็นประเพณีบุญกองข้าวแห่งเดียวในโลกที่จัดขึ้นสำหรับชาวนาผู้นับถือนิกายคาทอลิก ขณะที่งานประเพณีแห่ดาว ซึ่งจัดขึ้นก่อนเทศกาลคริสต์มาส ก็ถือเป็นอีกงานหนึ่งที่ไม่ควรพลาด ชาวบ้านจะประดับประดาบ้านด้วยโคมไฟรูปดาวทำมือ ก่อนหน้าวันที่ขบวนดาวขนาดใหญ่จะแห่ในเมืองนาน 3 วัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของชุมชนแห่งนี้
เมื่อก่อน ผ้าย้อมครามไม่ได้เป็นที่นิยมหรือเป็นของเก๋ เราโตขึ้นมากับทัศนคติที่ว่ามันเป็นผ้าของชนชั้นแรงงาน เป็นเสื้อผ้าที่ชาวนาสวมใส่...แต่เอาจริงคุณภาพของผ้าทอมันสุดยอดมาก แถมสีครามยังสามารถกันรังสียูวีได้ เหมาะกับการใส่ไปทำไร่ทำนาข้างนอก
ทรัพย์สมบัติของชาติ
นอกเหนือจากกลิ่นอายแบบฝรั่งเศสในตัวเมืองสกลนครแล้ว การไปเยือนพื้นที่ชนบทรอบนอกอันเป็นทุ่งโล่งขนาดใหญ่ก็น่าตื่นตาไม่แพ้กัน เนื่องจากสกลนครตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบสูงโคราช ภูมิประเทศของที่นี่ส่วนใหญ่จึงมีลักษณะเป็นที่ราบ ขณะที่ทะเลสาบหนองหาน ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสานและครอบคลุมพื้นที่ 7,700 ไร่ จะทำหน้าที่เสมือนเขื่อนกักเก็บน้ำฝนที่ตกลงมา จนบริเวณนี้ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยิ่งกว่านั้น ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม ทะเลสาบหนองหานจะแปรสภาพเป็นทุ่งดอกบัวแดงบานสะพรั่ง ซึ่งตระการตาจนสำนักข่าวต่างประเทศอย่าง CNN จัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่สวยแปลกจนต้องไปเยือน
ด้วยความสูงที่ 624 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เทือกเขาภูพานนั้นทำหน้าที่เสมือนสันเขาเล็กๆ ซึ่งแบ่งที่ราบสูงโคราชออกเป็น 2 แอ่งใหญ่ คือแอ่งโคราชทางทิศใต้ และแอ่งสกลนครทางทิศเหนือ ทำให้ภูพานเป็นที่อยู่อาศัยของพันธุ์ไม้พื้นเมืองนานาชนิด หนึ่งในพรรณพืชที่สำคัญที่สุดคือต้นหมากเม่าผลไม้ป่ารสเปรี้ยวปร่า ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ ‘เครื่องบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)’ ของจังหวัดสกลนคร สหกรณ์ชุมชนหลายแห่งปลูกและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหมากเม่า อาทิ น้ำผลไม้และแยม หรือแม้กระทั่งไวน์ เดิมที เกรียงไกร นาคสวัสดิ์ ผู้เป็นชาวจันทบุรีโดยกำเนิด เคยทดลองปลูกผลไม้อย่างเงาะและทุเรียนที่สกลนครแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ หากด้วยความช่วยเหลือจากผลงานวิจัยเกี่ยวกับการแปรรูปหมากเม่าของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร เขาจึงสามารถพัฒนาพืชพื้นเมืองชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี โดยไวน์เม่าสกลนคร Chateau de Phu Phan ของเขา ได้กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย และมีวางขายที่ศูนย์การค้าสินค้าปลอดภาษีคิงเพาเวอร์ในฐานะผลิตภัณฑ์ลือชื่อของไทย
สกลนครยังเป็นจังหวัดที่มีโครงการในพระราชดำริมากที่สุดในภาคอีสาน กล่าวคือ 294 โครงการ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้นเมื่อปี 2527 เพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติการสำหรับโครงการในพระราชดำริ 1,157 แห่งทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และยังทรงจัดตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปแห่งที่ 3 ขึ้นที่อำเภอเต่างอย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในฐานะโรงงานผลิตน้ำมะเขือเทศดอยคำ
ศูนย์ศึกษาแห่งนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังเนื้อโคดำหรือโคเนื้อภูพานอันเลื่องชื่อ ซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์ของโคขุนวากิวสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่ประเทศไทยได้มาเมื่อสมาคมผู้เลี้ยงโควากิวแห่งโอซากา ได้น้อมเกล้าฯ ถวายโคทาจิมะสายพันธุ์วากิวซึ่งเป็นโคขุนสายพันธุ์ดีที่สุดของญี่ปุ่นจำนวน 1 คู่แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในปี 2536 โดยภายในทศวรรษต่อมา วิศุทธิ์ เอื้อกิ่งเพชร นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษชาวสกลนครแห่งศูนย์ศึกษาฯ ภูพาน ได้ใช้น้ำเชื้อที่เหลืออยู่ของโคทาจิมะผสมกับวัวพันธุ์อื่นๆ เช่นโคพันธุ์เรดซินดี้ซึ่งทนต่ออากาศร้อน เพื่อสร้างวัวพันธุ์ผสมที่สามารถอยู่รอดในอากาศร้อนระอุของไทยได้
“ผมทำทุกอย่างที่นักเพาะพันธุ์โควากิวญี่ปุ่นทำ เขาให้วัวเขาดื่มเบียร์ ผมก็เอาสาโทให้วัวผมดื่ม เขานวดให้วัวเขา ผมก็นวดแผนไทยให้วัวผม เขาให้วัวฟังเพลงคลาสสิก ผมก็ให้วัวผมฟังหมอลำไปเลย” วิศุทธิ์กล่าว เขาหัวเราะกับความนอกกรอบของตน แต่สุดท้ายวิธีการเหล่านี้ (ทั้งการให้ดื่มสาโทและนวดแผนไทย) ก็ค่อยๆ ถูกตัดออกไป และตัวเขาเองได้หันมาพัฒนาเรื่องโภชนาการและวิธีการเลี้ยงอย่างจริงจังเพื่อให้เกษตรกรท้องถิ่นสามารถเลี้ยงโคขุนเหล่านี้ด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด และความพยายามของเขาก็ประสบผลสำเร็จ ปัจจุบัน โคขุนของเขามีสายเลือดทาจิมะแท้ถึง 92% และลายหินอ่อนบนเนื้อก็จัดอยู่ในระดับเกรด A5 (เกรดสูงสุด) พ่อพันธุ์วัวดำภูพานในสภาพสมบูรณ์สามารถขายได้ราคาสูงถึงตัวละ 10-12 ล้านบาท โดยวิศุทธิ์หวังว่าโคดำภูพานนี้จะเป็นอาวุธให้เกษตรกรไทยใช้สู้กับกับสงครามราคาเนื้อวัว หากมาตรการค้าเสรีว่าด้วยการยกเลิกกำแพงภาษีเนื้อวัววากิวออสเตรเลียเริ่มบังคับใช้ในปี 2563
ความหวังเริ่มต้นอย่างช้าๆ เมื่อเกษตรกรหลายคนกำลังเริ่มดำเนินรอยตามวิศุทธิ์ และใช้คู่มือของเขาเป็นแนวทางปฏิบัติในการเลี้ยงโคขุน โดยหนึ่งในนั้นคือ ‘ฟาร์มฮัก คุณทอง’ ที่คนกรุงมักรู้จักในชื่อ ‘โคขุนคุณทอง โพนยางคำ’ ฟาร์มแห่งนี้เป็นกิจการของครอบครัวชาวสกลนคร ที่เพาะเลี้ยงโคดำภูพานควบคู่ไปกับโคโพนยางคำที่สร้างชื่อให้กับร้านมาตั้งแต่ต้น ทุกวันนี้ผู้มาเยือนสามารถลิ้มลองสเต็กเนื้อนุ่มรสฉ่ำจาก ‘ฟาร์มฮัก’ ร้านอาหารสไตล์คาวบอยของพวกเขาในจังหวัดสกลนคร ซึ่งเหล่าคหบดีชาวลาวมักขับรถหรูอย่างเบนซ์ หรือแลนด์โรเวอร์เงาวับแวะเวียนมารับประทานอยู่บ่อยๆ เพราะแม้สกลนครจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางยอดนิยมแต่ชาวลาวส่วนใหญ่มักจะเดินทางจากเมืองท่าแขกไปยังเวียงจันทน์โดยแวะเที่ยวผ่านเส้นทางนครพนม สกลนคร และอุดรธานี ซึ่งน่าอภิรมย์กว่าการขับรถผ่านถนนของลาวเองที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดและต้องใช้เวลาวิ่งนานกว่าเป็นวันๆ
เราสังเกตว่าช่างฝีมือสกล ได้รับการยอมรับในที่อื่นๆ มาก แต่ช่างเราแทบไม่รู้จักกันเลย
มือสีคราม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความคลั่งใคล้ในผ้าเดนิม (ผ้าที่ใช้ทำยีนส์ ซึ่งเดิมทีย้อมด้วยคราม) ได้พุ่งสูงขึ้น พร้อมๆ กับกระแสนิยมงานคราฟต์ ทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ตัดสินใจหวนคืนสู่ดินแดนแห่งครามอย่างสกลนครอีกครั้ง
“สภาพอากาศและดินแถวเทือกเขาภูพานนั้นดีสุดแล้ว สีครามจาที่นี่ก็ไม่เหมือนที่ไหนในประเทศ” ปราชญ์ นิยมค้า ผู้ก่อตั้ง Mann Craft แบรนด์ผ้าย้อมครามชื่อดังของสกลนคร กล่าว โดยหลังจากที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านออกแบบจากมหาวิทยาลัยรังสิต ปราชญ์ก็ได้หวนคืนสู่บ้านเกิดด้วยความหวังที่จะสร้างสรรค์โคมไฟทำมือ แต่กลับกลายเป็นตกหลุมรักการย้อมครามอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแทน “การแช่ใบครามจนเป็นโคลนเหลวเพื่อนำไปสกัดเป็นน้ำหมึกสีฟ้าเข้ม เป็นกระบวนการที่น่าหลงใหลมาก ผมชอบทดลองหาเทคนิคย้อมสีใหม่ๆ ที่คนอื่นไม่เคยทำมาก่อน” เขาเล่าให้ฟังอย่างมีความสุข
ปราชญ์ผลิตหมึกเขียนกระดาษจากครามธรรมชาติ 100% ได้เป็นผลสำเร็จ และยังเริ่มการทดลองครั้งใหญ่ของเขาอย่างการสร้าง ‘สวนครามทอง’ ไร่ปลูกครามและต้นไม้ให้สีสันอีกกว่า 10 ชนิด โดยเขาวางแผนจะเปิดเวิร์กช็อปที่สวนครามทองให้คนนอกเข้าร่วมภายในสิ้นปีนี้
ในปัจจุบัน บรรดาเทคนิคเก่าแก่นั้นกำลังได้รับการชุบชีวิตใหม่ เนื่องด้วยความสนใจในสีย้อมผ้าธรรมชาติมีเพิ่มสูงขึ้น เช่น ‘แม่ฑีตา’ หนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่ริเริ่มทำเสื้อผ้าครามตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อนที่ขณะนี้มี สุขจิต แดงใจ สาววัย 20 กว่าๆ มารับช่วงธุรกิจต่อจากรุ่นแม่
“เมื่อก่อน ผ้าย้อมครามไม่ได้เป็นที่นิยมหรือเป็นของเก๋ เราโตขึ้นมากับทัศนคติที่ว่ามันเป็นผ้าของชนชั้นแรงงาน เป็นเสื้อผ้าที่ชาวนาสวมใส่สมัยนั้น คนจนไม่มีกำลังพอซื้อเสื้อผ้าแฟชั่น เลยต้องเย็บชุดใส่เอง แต่เอาจริงคุณภาพของผ้าทอมันสุดยอดมาก แถมสีครามยังสามารถกันรังสียูวีได้ เหมาะกับการใส่ไปทำไร่ทำนาข้างนอก” สุขจิตเล่า
ทุกวันนี้ แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นจากผ้าย้อมครามกำลังผุดขึ้นทั่วเมือง หนึ่งในนั้นคือ ‘ครามสกล’ ศูนย์การเรียนรู้และจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากครามของ สกุณา สาระนันท์ นักธุรกิจหญิงชาวสกล ที่ขายตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงเครื่องนอน ภายในร้านยังประกอบด้วยห้องพัก 2 ห้อง และร้านอาหารเล็กๆ สไตล์อิตาเลียนที่เธอเพิ่งเปิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยหวังใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างไวน์เม่าและเนื้อโพนยางคำมาเป็นตัวชูโรง
ในระหว่างนี้ กลุ่มช่างฝีมือ ‘สกลเฮ็ด’ ก็ได้เปิดพื้นที่ให้กับช่างฝีมือเก่งๆ ในสกลนครมารวมตัวกัน เช่นแบรนด์ชาหมักและข้าว ‘นาคำหอม’ ของรติกร ตงศิริ สาวเมืองผู้ตกหลุมรักเกษตรอินทรีย์ และร้านทำพิณอะคูสติก San’s Garage ของประกาศิต แสนปากดี นักร้องนำวงอภิรมย์
หัวหน้ากลุ่มสกลเฮ็ด วัลย์ริยา เพ็งสว่าง แห่งดอนหมูดิน เซรามิกส์ ได้ใช้ดินสกลผสมกับเนื้อคราม สร้างสรรค์เครื่องปั้นสไตล์อีสานอันเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งไปเข้าตาร้าน ‘ซาหมวย & Sons’ ร้านอาหารดังในอุดรธานี กระนั้น วัลย์ริยาก็หวังว่าตนจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของชาวสกลเองได้ด้วย
“เราสังเกตว่าช่างฝีมือสกลได้รับการยอมรับในที่อื่นๆ มาก แต่ช่างเราแทบไม่รู้จักกันเลย” วัลย์ริยากล่าวถึงแรงบันดาลใจในการก่อตั้งกลุ่มสกลเฮ็ด ซึ่งขณะนี้กำลังวางแผนจัดงานเฉลิมฉลองช่างฝีมือชาวสกลระหว่าง 9-11 ธ.ค.นี้ “ที่จัดงานนี้ขึ้นก็ไม่ใช่เพื่อนักท่องเที่ยว แต่ทำเพื่อให้คนในท้องถิ่นได้รู้ว่าที่นี่ก็มีช่างฝีมือเจ๋งๆ อยู่เหมือนกัน” เธอเสริม
การสร้างให้สกลนครเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ทำให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตสกลนคร เร่งทำแบบสำรวจภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม เพื่อจัดทำ ‘แผนที่ทางวัฒนธรรม’ สำหรับใช้ในการท่องเที่ยวต้นปีหน้า ขณะที่คนสกลนครเองอย่าง ตะวัน รวยทรัพย์ เจ้าของร้าน ‘เลิศรสไข่กระทะ’ แหล่งอาหารเช้าของคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ก็หวังให้สกลนครต้อนรับผู้มาเยือนโดยยังคงความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้แทนที่จะแลกกับความเจริญเฉกเช่นเมืองใหญ่อื่นๆ ในอีสาน “ผมดีใจมากที่รถไฟความเร็วสูงไม่ผ่านสกลนคร ไม่งั้นคงวุ่นวายกว่านี้อีกเยอะ” ตะวันในวัย 58 ปีพูดพลางหัวเราะ
ในช่วงที่อากาศกำลังเย็นลงแบบนี้ การไปชมประเพณีของชาวคาทอลิก และงานหัตถกรรมร่วมสมัยที่มีรากเหง้าเก่าแก่ พร้อมกับชิมเนื้อโคขุนไทย-ญี่ปุ่นและไวน์หมากเม่า น่าจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับการพักผ่อนในช่วงหน้าหนาว ยิ่งถ้านับรวมความน่ารักเป็นกันเองของคนในท้องถิ่น ทะเลบัวแดง และอากาศบริสุทธิ์บนเทือกเขาภูพานด้วยแล้ว หากคนเริ่มพูดต่อๆ กันออกไปเมื่อไร น่าเชื่อว่าแอร์เอเชียและนกแอร์อาจต้องรีบพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินไปยังสกลนครในเร็วๆ นี้
■
Essentials
■
ครามสกล
212 หมู่ 2 บ้านพะเนาว์
อำเภอเมือง สกลนคร
โทร. 080-582-6655
www.fb.com/KhramSklKramsakon
■
ฟาร์มฮัก คุณทอง
263 บ้านโพนยางคำ
อำเภอเมือง สกลนคร
โทร. 088-572-6288
www.fb.com/farmhug.snk
■
แม่ฑีตา
1 หมู่ที่ 14 บ้านนาดี
อำเภอพรรณานิคม สกลนคร
โทร. 097-954-6632
www.fb.com/maeteeta
■
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
หมู่บ้านนานกเค้า
อำเภอเมือง สกลนคร
โทร. 042-747-458-9
www.royal.rid.go.th/phuphan
■
Chateau de Phu Phan
7 หมู่ 6 อำเภอภูพาน สกลนคร
โทร. 089-278-7930
www.phuphanbeverage.com
■
Mann Craft
1576 ถนนสุขเกษม
อำเภอเมือง สกลนคร
โทร. 081-055-6301
www.manncraft.com
■
ดอนหมูดิน เซรามิกส์
12 ถนนสกล-นาแก ต.งิ้วด่อน
อำเภอเมือง สกลนคร
โทร. 089-128-7390
www.fb.com/donmoodin