SECTION
ABOUTBEYOND BOUNDARIES
God’s Own
Country
ดินแดนที่กล่าวอ้างว่าตนเป็น 'ดินแดนของพระเจ้า'
แห่งนี้ เชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสความมหัศจรรย์
ซึ่งเกิดจากการหลอมรวมวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และความรู้สึกแห่งมิตรภาพที่เหลือล้น
เฉกเช่นเดียวกับหลากหลายประเทศทั่วโลก จอร์เจียมีตำนานกล่าวขานว่าตนนั้นเป็นดินแดนของพระเจ้า
รัฐขนาดเล็กในยุโรปซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทะเลดำและประเทศรัสเซียแห่งนี้มีตำนานกำเนิดประเทศอยู่มากมาย แต่ทุกเรื่องเป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือ หลังพระเจ้าได้สร้างโลกสำเร็จแล้ว พระองค์เห็นความงามของทะเลดำและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้สงวนแผ่นดินที่ติดกับทะเลไว้สำหรับพระองค์เอง จากนั้น ในขณะที่พระเจ้าทยอยจัดสรรดินแดนให้กับกลุ่มชนต่างๆ ก็พบว่ามีแต่ชาวจอร์เจียที่ไม่เคยร้องขออะไร พวกเขาดูพอใจแต่จะกินดื่มและชื่นชมความงามของสิ่งที่พระเจ้ารังสรรค์ เมื่อพระเจ้าทรงถามย้ำว่าชาวจอร์เจียอยากได้ดินแดนบริเวณไหน คำตอบที่ได้กลับเป็นคำเชื้อเชิญให้พระองค์มาร่วมงานเลี้ยงฉลองแทน พระเจ้าประทับใจในไมตรีจิตและความมักน้อยของชาวจอร์เจียเป็นอย่างมาก สุดท้ายพระเจ้าจึงได้ตัดสินใจมอบผืนดินที่ได้กันไว้สำหรับพระองค์เองแก่ชาวจอร์เจีย
แม้จะไม่เชื่อเรื่องทฤษฎีพระเจ้าสร้างโลก ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศจอร์เจียคือดินแดนที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์และมนต์ขลัง ด้วยพื้นที่ซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่ถึงครึ่งของภาคอีสาน จอร์เจียถือเป็นดินแดนเล็กๆ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและสภาพภูมิอากาศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยประมาณกันว่าจอร์เจียเป็นถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกราว 1% ลักษณะภูมิประเทศแบบเทือกเขาสูงซึ่งตั้งอยู่ในเขตละติจูดต่ำของที่นี่ ทำให้จอร์เจียมีทั้งสภาพอากาศแบบกึ่งร้อนชื้นและภาคพื้นทวีป ในแต่ละปีชาวรัสเซียจากทางตอนเหนือจะหลั่งไหลเข้ามาเล่นสกีบนเทือกเขาคอเคซัส ขณะที่ชาวยุโรปและอเมริกันนิยมมาพักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบของเขตชนบทและบริเวณแนวชายฝั่งของเมืองบาทูมีทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หุบเขาเขียวขจีของจอร์เจียนั้นตัดผ่านเทือกเขาซึ่งห่มคลุมไว้ด้วยไร่องุ่นแน่นขนัดที่แม้แต่ชาวแคลิฟอร์เนียก็ต้องตื่นตา (ประเทศแห่งนี้มีประเพณีการผลิตไวน์ที่เก่าแก่ติดอันดับโลก) พูดได้เต็มปากว่าที่นี่คือสวรรค์สำหรับผู้รักการปีนเขา ขี่ม้า ปั่นจักรยาน หรือกิจกรรมกลางแจ้งอื่นใด อีกทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการกินดื่มอย่างเปรมปรีดิ์
ชาวจอร์เจียนั้นมีอุปนิสัยชื่นชอบการกินเลี้ยงเป็นที่ลือเลื่อง โจชัว เลอวีน นักเขียนแห่งนิตยสาร Travel + Leisure กล่าวว่าประเทศนี้ต้องเป็นหนึ่งในประเทศที่แย่งกันจ่ายเงินได้ดุเดือดที่สุดในโลก สอดคล้องกับสุภาษิตจอร์เจียที่ว่า “แขกคือของขวัญจากพระเจ้า” หนึ่งในมรดกวัฒนธรรมชิ้นสำคัญของประเทศแห่งนี้คือ supra หรืองานกินเลี้ยง ใน ‘ซูปรา’ ผู้มาเยือนจะได้ลิ้มรสอาหารสารพัดอย่างไม่ว่าสลัดแตงกวา ขนมปังอบในเตาดินเผา ชเมคูลี (ไก่ทอดราดด้วยซอสครีมเปรี้ยว) หรือคินกาลี (เกี๊ยวนึ่งยัดไส้เนื้อสัตว์และซุป) อาหารเหล่านี้ไม่เพียงมีรสชาติชวนน้ำลายสอ แต่ยังบ่งบอกถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทั่วทุกสารทิศตลอดเส้นทางประวัติศาสตร์อันโกลาหลของดินแดนเล็กๆ ซึ่งเคยถูกรุกรานโดยชาวอาหรับ เติร์ก เปอร์เซีย และมองโกลมาแล้วแห่งนี้
“อาหารจอร์เจียมีเอกลักษณ์เฉพาะ แต่มันก็เป็นอาหารฟิวชั่น โดยมากแล้วประเทศต่างๆ มักรับเอาวัฒนธรรมอาหารส่วนหนึ่งมาจากบรรดาผู้รุกราน นักล่าอาณานิคม หรือชนชาติที่ตนทำการค้าด้วย ชาวจอร์เจียไม่เคยปฏิเสธเรื่องนี้ เพราะของอร่อยอย่างไรก็คือของอร่อย” เกกา ซวาดิอานี ซอมเมอร์ลิเยร์และผู้จัดการไวน์บาร์ Divino ในเมืองหลวงทบิลิซีกล่าว
สิ่งแรกที่ผู้มาเยือนควรทำหลังเหยียบแผ่นดินจอร์เจีย ก็คือการตรงดิ่งไปลิ้มลองอาหารคาวหวานที่ผสมผสานรสชาติตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน
หากต้องการจะสัมผัสวัฒนธรรมทางอาหารของจอร์เจีย ที่ๆ ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นเมืองหลวงอย่างกรุงทบิลิซี ด้วยประชากรราว 1 ล้านคนเศษ (นับเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ) ผู้มาเยือนอาจต้องเผชิญกับบรรยากาศโกลาหลยามที่ฝูงจักรยานแล่นผ่านถนนปูหินสายแคบๆ รวมทั้งกฎจราจรแปลกๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน แต่ความวุ่นวายนี้ก็คุ้มค่า หากเทียบกับสิ่งที่จะได้พบเจอ เมืองทบิลิซีเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญหลายแห่ง อาทิ โรงอาบน้ำทรงโดมจากศตวรรษที่ 12 ซึ่งอบอวลด้วยไอจากน้ำพุร้อนกำมะถัน และวิหารเก่าแก่ที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามเนินเขารอบเมือง นอกจากมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้แล้ว ทบิลิซียังถูกนำมาเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่อย่างกรุงเบอร์ลิน ด้วยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดกระแสฟื้นฟูเมืองหลวงเก่าแก่แห่งนี้ให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ดังจะเห็นจากโรงงานเก่าที่ถูกดัดแปลงเป็นโรงแรมหน้าตาฮิปสเตอร์ คาเฟ่ลับสีสันสดใส และศิลปะโบฮีเมียนที่ช่วยลดทอนความดุดันของสถาปัตยกรรมโซเวียตลง
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเยือนจอร์เจียจะบินมาลงที่กรุงทบิลิซี และสิ่งแรกที่ผู้มาเยือนควรทำหลังเหยียบแผ่นดินจอร์เจีย ก็คือการตรงดิ่งไปลิ้มลองอาหารคาวหวานที่ผสมผสานรสชาติตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน เมืองหลวงแห่งนี้มีร้านห้ามพลาดอย่าง Barbarestan ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำมิทควารีที่ตัดผ่านใจกลางเมือง ร้านแห่งนี้ถูกดัดแปลงมาจากห้องเก็บเนื้อใต้ดินเก่า (เพดานในร้านยังมีตะขอแขวนเนื้อห้อยอยู่ให้เห็น) และแขกต้องเดินผ่านบันไดวนลงไปยังห้องใต้ดินเพื่อลิ้มลองเมนูอาหารจากศตวรรษที่ 19 ของทางร้าน ซึ่งปรุงจากตำราอาหารของบาร์บาเร จอร์จาดเซ นักสิทธิสตรีและกวีหญิงชาวจอร์เจียในศตวรรษที่ 19 ตำราของเธอที่ชื่อ Georgian Cuisine and Tried Housekeeping Notes นั้นเป็นหนึ่งในตำรับอาหารดั้งเดิมเพียงหยิบมือที่รอดพ้นจากการถูกกวาดล้างทางวัฒนธรรมของสหภาพโซเวียต ดังนั้นผู้มาเยือนร้านบาร์บาเรสถาน จึงจะได้ลิ้มรสอาหารที่ปรุงอย่างคลาสสิกตามตำรับจอร์เจียแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกี๊ยวคินกาลีรสชาติเข้มข้น ซุปถั่วโลบิโอฟุ้งกลิ่นเครื่องเทศ หรือขนมปังแฟลตเบรดที่นำไปอบในเตาดินเผาจนกรอบ ซึ่งเสิร์ฟเคียงมากับสลัดผักรสเปรี้ยวและผักสวนครัวสดๆ เป็นตะกร้า
ขนมปังเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ของสำรับแต่ละมื้อที่นี่ โดยเฉพาะขนมปังที่ทำจากข้าวสาลีสีแดงของจอร์เจีย ร้านอาหารที่นี่นิยมอบขนมปังในเตาดินเผาซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเตาทันดูร์หรือโอ่งของบ้านเรา และไม่มีที่ไหนทำขนมปังได้อร่อยไปกว่าร้าน Retro ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากของแม่น้ำมิทควารี คนรักขนมปังควรแวะเวียนไปลิ้มลองเมนูอาชารูลี คาชาเพอรี หรือขนมปังทรงชามที่บรรจุไว้ด้วยไข่และชีสหยาดเยิ้มปริ่มขอบ ควรทราบว่าเมนูนี้นับเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับอาหารเช้าที่สุดของจอร์เจีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่แทบไม่ลุกจากที่นอนก่อนเที่ยงในวันหยุด
แวดวงศิลปะที่นี่อาจจะสู้เมืองใหญ่ๆ ของยุโรปไม่ได้ แต่ก็มีสีสันไม่แพ้กัน ดูอย่างดีไซน์ของหอนาฬิกาแห่งนี้ที่ดูผิดรูป ผิดร่างเหมือนเอาอะไรก็ไม่รู้มาปะติดปะต่อกันแต่ก็ดูน่ามอง มันคือการผสมผสานระหว่างโลกเก่าและใหม่
แม้อาหารจะเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมที่นี่ แต่กรุงทบิลิซีก็มีดีมากกว่าขนมปังหรือเกี๊ยวนึ่ง ถนนหนทางอันสลับซับซ้อนในย่านเมืองเก่านั้นเป็นที่ตั้งของตึกโบราณทรงแปลกตาและบ้านเรือนสีสันสดใส ทำให้เพียงการเดินทอดน่องไปตามถนนคดเคี้ยวก็ถือเป็นประสบการณ์ชั้นยอดในตัวแล้ว สำหรับผู้ที่เฟ้นหาของฝากติดมือ Gallery 27 ร้านขายของที่ระลึกซึ่งตั้งอยู่ในห้องใต้หลังคาของบ้านหลังเก่าแก่นั้นเป็นตัวเลือกที่ดี ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายของฝากทั่วไป เพราะจำหน่ายผลิตภัณฑ์งานฝีมือคุณภาพจากช่างฝีมือชาวจอร์เจีย นอกจากร้านขายของฝากแล้ว อาร์ตคาเฟ่บรรยากาศครึกครื้น ซึ่งรวมเอาแกลเลอรี่และพื้นที่พบปะสังสรรค์ไว้ด้วยกัน คืออีกหนึ่งสถานที่ซึ่งสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของคนที่นี่ได้เป็นอย่างดี โดยหนึ่งในนั้นคือ Café Leila คาเฟ่สวยขึ้นกล้องที่ดำเนินกิจการโดยเทคูนา กาชีชวาสซี เชฟชื่อดังผู้ได้ช่วยยกมาตรฐานอาหารฟิวชั่นไปอีกขั้น ผ่านการปรุงอาหารจอร์เจียแบบร่วมสมัย หลังพักรับประทานอาหารที่คาเฟ่ไลลาแล้ว โรงละคร Gabriadze Theatre ที่อยู่เยื้องกัน คืออีกหมุดหมายสำคัญทางวัฒนธรรมของทบิลิซีซึ่งผู้มาเยือนพลาดไม่ได้ โรงละครแห่งนี้ก่อตั้งโดยเรโซ กาเบรียดเซศิลปินมากพรสวรรค์ของจอร์เจียผู้มีอิทธิพลสำคัญทางวัฒนธรรมหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต โดยไม่ว่าจะมีเวลาจำกัดแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดก็ควรแวะไปชมหอนาฬิกาเอนอันโด่งดังของโรงละครแห่งนี้สักครั้ง
“แวดวงศิลปะที่นี่อาจจะสู้เมืองใหญ่ๆ ของยุโรปไม่ได้ แต่ก็มีสีสันไม่แพ้กัน ดูอย่างดีไซน์ของหอนาฬิกาแห่งนี้ที่ดูผิดรูปผิดร่างเหมือนเอาอะไรก็ไม่รู้มาปะติดปะต่อกันแต่ก็ดูน่ามอง มันคือการผสมผสานระหว่างโลกเก่าและใหม่ นี่แหละคือความเป็นจอร์เจีย” นาเทลา ซีคลอรี ผู้อำนวยการโรงละครกาเบรียดเซ เธียเตอร์ กล่าว
แม้ผู้มาเยือนอาจใช้เวลาทั้งหมดออกสำรวจไปตามซอกมุมต่างๆ ของกรุงทบิลิซีได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย เพราะชนบทของจอร์เจียนั้นงดงามยิ่ง จอร์เจียเป็นภูมิภาคที่มีประเพณีการปลูกองุ่นที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเขตคาเคติซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของทบิลิซีนั้นมีภูมิอากาศอบอุ่นที่สุดในจอร์เจียและเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตไวน์ อันเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมากว่า 7 พันปีในภูมิภาคแห่งนี้ ตามเนินเขานั้นมีแนวต้นองุ่นเรียงราย และเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผลองุ่นจะถูกนำไปบดและหมักเป็นไวน์ขึ้นชื่อของจอร์เจียที่ให้รสสดชื่นมีกลิ่นองุ่นเตะจมูก ซึ่งคนท้องถิ่นนิยมดื่มกันทีละเป็นลิตร
ในขณะที่ประเพณีการทำไวน์ของจอร์เจียนั้นเก่าแก่ติดอันดับโลกและเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่นี่ แต่ตลอดเวลาหลายศตวรรษ ชาวจอร์เจียนั้นเพียงนิยมหมักไวน์ไว้ดื่มเองที่บ้าน ส่วนโรงกลั่นไวน์ขนาดใหญ่และไร่องุ่นที่ทอดยาวตามแนวเชิงเขานั้นเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมซึ่งอเล็กซานเดอร์ เชาโชอาดซี เจ้าชายนักกวีผู้ชำนาญในเรื่องไวน์และศิลปะรับเข้ามาจากยุโรปและผสมผสานเข้ากับประเพณีการหมักไวน์ท้องถิ่น จนก่อกำเนิดเป็นโรงกลั่นไวน์แห่งแรกของประเทศ กระนั้น พรสวรรค์ของเจ้าชายก็มีมากกว่าการทำเครื่องดื่มมึนเมา เพราะเขาคือผู้แปลวรรณกรรมระดับโลกของโวลแตร์และวิกเตอร์ อูโกเป็นภาษาจอร์เจีย รวมทั้งยังเป็นผู้นำเข้าเปียโนและโต๊ะบิลเลียดตัวแรกของประเทศ จนอาจกล่าวได้ว่า เขาคือผู้นำความเป็นตะวันตกมาสู่ดินแดนแห่งนี้ หากต้องการจะชื่นชมกับประวัติศาสตร์ คฤหาสน์ปี 1818 ของเจ้าชายที่หมู่บ้านซินานดาลีในเขตคาเคตินั้นถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้สำคัญ โดยภาพเขียนต่างๆ ที่ประดับบนฝาผนังคฤหาสน์บอกเล่าถึงชีวิตและสาเหตุการตายอันเหลือเชื่อของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ (เขาตกหลังม้าแล้วหน้าไถลไปกับพื้นปูนต่อหน้าครอบครัวและเพื่อนฝูง) ขณะที่สถาปัตยกรรมด้านนอกนั้นมีร่องรอยของหลากวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นกำแพงหินอิตาเลียน หรือระเบียงแบบออตโตมัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอาคารบางส่วนได้ถูกรื้อถอน เผาทำลาย และสร้างใหม่มาแล้วหลายครั้งโดยชนชาติผู้รุกราน
การไปเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของจอร์เจียอาจก่อให้เกิดความรู้สึกย้อนแย้งอยู่พอประมาณ โดยเฉพาะยามที่เอ่ยนาม โจเซฟ สตาลิน หนึ่งในผู้นำเผด็จการที่โหดเหี้ยมที่สุดของโลก
ควรเตือนไว้ก่อนว่า การไปเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของจอร์เจียอาจก่อให้เกิดความรู้สึกย้อนแย้งอยู่พอประมาณ โดยเฉพาะยามที่เอ่ยนามโจเซฟ สตาลิน หนึ่งในผู้นำเผด็จการที่โหดเหี้ยมที่สุดของโลก สตาลินเกิดที่กระท่อมขนาดสองห้องในชุมชนแออัดของกอรี เมืองเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างจากทบิลิซีไปทางทิศตะวันออกราว 45 นาที แม้สตาลินจะสร้างวีรกรรมโหดร้ายไว้เป็นพิเศษกับชาวจอร์เจีย แต่เขาก็เป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์สากลคนเดียวของที่นี่ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเมืองเล็กๆ เช่นนี้ กระท่อมหลังเดิมของเขาถูกทำลายไปแล้วเมื่อหลายทศวรรษก่อน แต่รูปปั้นของเขายังตั้งตระหง่านอยู่ ณ จตุรัสใจกลางเมืองกอรี ซึ่งล้อมรอบด้วยสวนสาธารณะสตาลิน ถนนสตาลิน และพิพิธภัณฑ์สตาลิน อันเป็นดั่งคำสรรเสริญแด่ทรราชคนสำคัญของโลกที่แปลกและชวนให้กังขา
“เมื่อพูดถึงสตาลิน เราทุกคนต่างมีความรู้สึกหวานอมขมกลืนทั้งนั้น ทุกคนรู้เกี่ยวกับอดีตอันเลวร้าย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ดูเหมือนคนรุ่นก่อนจะเข้าใจตรงจุดนี้มากกว่า คนรุ่นใหม่ส่วนมากจะรู้สึกเพียงเกลียดและโกรธแค้นที่สตาลินทำ ‘ชื่อเสีย’ ให้กอรีกลายเป็นที่รู้จัก” เกนาดี เมลกัดซี เจ้าของคาเฟ่และร้านขนมหวาน Coffeegizer ฝั่งตรงข้ามจตุรัสกล่าว
หลังอิ่มเอมกับอาหาร ไวน์ ศิลปะ และประวัติศาสตร์ของจอร์เจียแล้ว ประเทศแห่งนี้ยังมีทัศนียภาพธรรมชาติอันน่าทึ่งให้ออกไปค้นหา การเรียกเทือกเขาคอเคซัสว่าเป็นเสมือน ‘เทือกเขาแอลป์’ ของจอร์เจียนั้นดูจะเป็นคำสบประมาทไปสักหน่อย และหากต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ ควรจะเป็นไปในทางกลับกันมากกว่า เพราะเทือกเขาคอเคซัสนั้นมียอดสูงที่สุดในยุโรปและเป็นความฝันของนักปีนเขาหลายๆ คน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมายังภูมิภาคแห่งนี้จะเข้ามาตั้งต้นที่สเฟนสมินดา เมืองเล็กๆ ที่คนนิยมเรียกด้วยชื่อเก่าอย่างคาสเบกี เนื่องด้วยการเดินทางจากกรุงทบิลิซีไปยังสเฟนสมินดานั้นทำได้สะดวก และเมืองแห่งนี้ยังตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาคาสเบก ภูเขาขนาดมหึมาสูง 5,033 เมตรอันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคอเคซัสและมีเส้นทางปีนเขาที่น่าตื่นตาที่สุดในจอร์เจีย เขาลูกนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ Gergeti Trinity ซึ่งยืนอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางเทือกเขาสูงตระหง่านจรดกับเส้นขอบฟ้า หากการไต่เขาคาสเบกนั้นฟังดูเป็นกิจกรรมที่หฤโหดเกินไป การเดินเท้าไปยังโบสถ์เกอเกติ ทรินิตี้ซึ่งกินเวลาราว 1-2 ชั่วโมงก็น่าจะเพียงพอแล้ว (หรือจะจ้างรถจี๊ปไปส่งก็ยังได้) โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของจอร์เจีย โดยวาคูชตี บาโตนีชวิลลี เจ้าชายชาวจอร์เจียผู้เป็นทั้งนักภูมิศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักเขียนแผนที่ชื่อดัง เคยบันทึกไว้ว่าในยามวิกฤต วัตถุโบราณล้ำค่าจะถูกนำมาเก็บรักษาไว้ชั่วคราวที่โบสถ์แห่งนี้ เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งนั้นทุรกันดารและเข้าถึงได้ยาก จึงเป็นเส้นทางที่ผู้รุกรานไม่นิยมผ่าน ทุกวันนี้ โบสถ์เกอเกติ ทรินิตี้นั้นยังคงมีบทบาทสำคัญในศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์ของจอร์เจียดังที่เป็นมาตลอด โดยเคยต้องปิดตัวลงเพียงครั้งเดียวเท่านั้นคือในยุคสหภาพโซเวียตภายใต้การนำของสตาลิน
กล่าวโดยรวบยอดแล้ว ไม่ว่าจะเดินทางไปยังที่ใดในจอร์เจีย ผู้มาเยือนจะได้เรียนรู้เกร็ดประวัติศาสตร์ของประเทศแห่งนี้เสมอ ตั้งแต่ยามรับประทานอาหารท้องถิ่น การเดินชมงานสถาปัตยกรรมในเขตเมืองเก่า ไปจนถึงขณะเยี่ยมเยียนชุมชนศิลปะซึ่งกำลังเบ่งบานชำแรกเปลือกอิทธิพลสถาปัตยกรรมอันแข็งและแห้งแล้งแบบโซเวียต ชนชาติที่เข้ามารุกรานจอร์เจียได้ทำลายสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ลงหลายแห่งและสร้างขึ้นใหม่ในแบบที่ตนเห็นว่าเหมาะสม ทำให้เกิดความรู้สึกย้อนแย้งอยู่ลึกๆ แต่ชาวจอร์เจียนั้นเป็นนักใช้ชีวิตที่เก่งกาจ พวกเขารู้เก็บรักษาส่วนที่ดี อดทนต่อส่วนที่เลวร้ายที่สุด และจดจ่ออยู่กับสิ่งสำคัญตรงหน้า ซึ่งก็หนีไม่พ้นการมีมิตรภาพดีๆ อาหารอันโอชะมื้อใหญ่ และไวน์รสเลิศสักแก้ว ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมาจากแห่งหนใด ชาวจอร์เจียก็พร้อมจะทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีเสมอ
นี่คือเหตุผลที่พระเจ้ามอบดินแดนผืนนี้ให้กับพวกเขามาตั้งแต่แรกนั่นเอง ■
Essentials