HOME ISSUE

SECTION

ABOUT

CLIENT VALUES


Natural Wonders

ศาสตราจารย์ ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา นักวิจัย ‘มังคุด‘ ผู้ประสานพลังภูมิปัญญาท้องถิ่นกับองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อยับยั้งโรคร้าย

หากกล่าวถึงนวัตกรรมด้านสุขภาพที่ผสมผสานพลังจากธรรมชาติเข้ากับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO คือหนึ่งในผู้ที่เรียกได้เต็มปากว่าได้ใช้นวัตกรรมนี้รักษาโรคเอดส์และมะเร็ง โดยปราศจากผลข้างเคียงที่อันตรายจนประสบความสำเร็จ และได้ให้ชีวิตใหม่กับผู้ป่วยมาแล้วไม่น้อย

ศ.ดร.พิเชษฐ์ ผู้หลงใหลในวิถีของวิทยาศาสตร์ เล่าถึงชีวิตในวัยหนุ่มที่ควบวุฒิระดับหลังปริญญาเอกสองใบ (postdoctoral degree) จากสหรัฐอเมริกา สู่การเป็นนักวิจัยสารสกัดจากพืชกินได้ ก่อนผันตัวเองมาทำงานในฐานะ ‘นักธุรกิจวิทยาศาสตร์’ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร APCO ซึ่งได้พาบริษัทควบรางวัล Best CEO Awards และ Best Company Performance Awards ในปี 2558 และสร้างนวัตกรรมด้านสุขภาพระดับโลก

ตัวจริงของ ศ.ดร.พิเชษฐ์ยังดูสดใส และเล่าเรื่องราวต่างๆ ตามแบบฉบับนักวิทยาศาสตร์ผู้ใฝ่รู้อย่างเฉียบคม

เส้นทางนักวิทยาศาสตร์

ผมจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นสอบติดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) เรียนไปได้สักพัก เผอิญสอบชิงทุนไปต่างประเทศได้ที่สอง ก็เลยได้รับทุนไปเรียนด้านเคมีอินทรีย์ที่ประเทศออสเตรเลีย ที่หนึ่งตอนนั้นคือ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร อดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ผมเรียนอยู่ที่นั่นจนจบปริญญาเอก กลับมาทำงานที่ประเทศไทยได้ปีครึ่ง ก็ได้รับทุนจากสถาบันด้านสุขภาพแห่งชาติและมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ไปฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสูงระดับหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัต และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย

ได้ทำงานกับลูกศิษย์นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลและคนเก่งๆ มากมาย รวมทั้งได้เรียนรู้ประสบการณ์อื่นๆ ในแวดวงวิทยาศาสตร์ เช่น วิธีการขอทุนจากองค์กรระดับโลก พอกลับมาไทย เราเลยเป็นทีมที่ได้รับทุนมากที่สุดในประเทศ บางทีปีหนึ่งได้ 40-50 ล้านบาท ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเยอะมาก ประสบการณ์วิจัยจำนวนมากกับคนเก่งด้านต่างๆ ที่ไทยตรงนี้ ก็ช่วยให้ผมมีทีมและเครือข่ายที่ดี

สร้างมูลค่าให้มังคุดไทย

ผมมาเริ่มสนใจเรื่องเปลือกมังคุดครั้งแรก ตอนเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพราะเห็นว่าอยู่ในตำราแพทย์แผนไทยอยู่แล้ว เป็นภูมิปัญญาที่ผ่านการกลั่นกรองจากหลายชั่วอายุคน แล้วบังเอิญตอนนั้นในห้องวิจัย มี ‘ลุงเขียว’ เป็นภารโรงประจำห้องวิจัย แกเป็นหมอชาวบ้าน ชอบเล่าเรื่องสรรพคุณของมังคุดให้ผมฟัง ผมเลยยิ่งสนใจมากขึ้น ลุงเขียวถือเป็นปรมาจารย์ของผมคนหนึ่ง ผมรู้สึกขอบคุณที่แกช่วยชี้แนะแนวทางให้ผม ในช่วงปี 2550 ราคามังคุดลดลงมาเหลือกิโลกรัมละ 3-5 บาท จนเกษตรกรนำมาเททิ้งประท้วง เวลานั้นเราตั้งบริษัทและผลิตแคปซูลสกัดจากเปลือกมังคุดแล้ว เลยทำสัญญากับผู้ว่าจังหวัดตราด นำวิสาหกิจชุมชนเข้ามาร่วมกัน ใช้เงิน 16 ล้านบาท ซื้อมังคุดราคากิโลกรัมละ 10 บาท คนอื่นมองว่าผมบ้าเพราะสิ่งที่ทำนั้นขาดทุน แต่เราก็ทำให้ราคามังคุดยกระดับขึ้นมาทันที

‘ลุงเขียว’ เป็นภารโรงประจำห้องวิจัย แกเป็นหมอชาวบ้าน ชอบเล่าเรื่องสรรพคุณของมังคุดให้ผมฟัง ลุงเขียวถือเป็นปรมาจารย์ของผมคนหนึ่ง ผมรู้สึกขอบคุณที่แกช่วยชี้แนะแนวทางให้ผม

ครั้งแรกของโลก

ปัจจุบันโรคเอดส์ยังไม่มีทางรักษาให้หายขาด มีแต่ยาต้านไวรัสที่ควบคุมเชื้อไม่ให้ขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง และมีผลข้างเคียงรวมถึงต้องใช้ยาต่อเนื่อง แต่เราได้คิดค้นวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ป่วยขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลก โดยใช้สารสกัดจากพืชที่รับประทานได้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ยารักษาราคาแพง และนี่คือสิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุด คือเรามีโอกาสใช้สารสกัดจากพืชกินได้ที่เราได้ทำวิจัยมากว่าสี่สิบปี คือค้นพบตั้งแต่ปี 2526 มาสกัดเป็นส่วนประกอบสำคัญในการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยยึดหลักภูมิคุ้มกันบำบัด วิธีของเราคือการกระตุ้นร่างกายให้สร้างเม็ดเลือดขาวที่ชื่อ Killer T-cells หรือที่ผมตั้งชื่อว่า ‘เซลล์ทีพิฆาต’ เพื่อจัดการเซลล์ร้ายหรือสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเอชไอวีและเชื้อโรคอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันเราทำสำเร็จ 100% จากผู้ป่วย 8 ราย

เซลล์ทีพิฆาตมะเร็ง

เซลล์ทีพิฆาตที่เราสร้างขึ้นนั้นสามารถนำมาใช้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งได้ด้วย ซึ่งมะเร็งระยะต้นเราทำสำเร็จทุกกรณี แต่ระยะท้ายๆ นั้นมีความยากตรงที่ผู้ป่วยที่เข้ามาหาเรามักผ่านกระบวนการอื่นหมดแล้วยังรักษาไม่หาย แต่อัตราสำเร็จจากการรักษาโดยรวมก็สูงถึง 70-80% แล้วด้วยหลักการของมันที่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันบำบัดขึ้น แปลว่ามันยังใช้กับโรคได้อีกหลายประเภท เพราะมันทำให้ร่างกายเราแข็งแรง มีกรณีหนึ่งผู้ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย ทำเคมีบำบัดแล้วจากโรงพยาบาลชั้นนำของไทย แต่มะเร็งลุกลามไปอีก 4-5 แห่ง หมอบอกว่าไม่รอดแล้ว แต่บังเอิญเพื่อนผมเขาแนะนำให้มาหาเรา ผมเลยอาสาดูแลค่ารักษาให้เอง เพราะเขาลำบากอยู่ เราจ่ายยาเขาเป็นระยะเวลา 117 วัน จนอาการเป็นปกติต่อเนื่องมาสองปีแล้ว

พลิกวิธีคิด

สารบริสุทธิ์จากพืชอย่างเดียวมันทำงานได้ไม่ดีพอ อย่างสารสกัดจากมังคุดทำงานได้ดีในห้องวิจัย เพราะเราหยดโดนเซลล์มะเร็งโดยตรง ต่างจากในชีวิตจริงที่เซลล์มะเร็งมันอยู่หลายที่ ผู้ป่วยจึงต้องกินยาปริมาณมากทำให้เริ่มเกิดผลข้างเคียง ส่งผลระยะยาวต่อตับและไต ผมจึงต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จนมาคิดได้ถึง ‘หลักการเสริมฤทธิ์’ หรือ Synergism เราเพียรพยายามหาสารจากพืชกินได้อื่นๆ ที่ปลอดภัยและทำงานกับเม็ดเลือดขาว สุดท้ายได้มาเพิ่มอีก 4 ตัว นอกเหนือจากมังคุด คือ งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และบัวบก ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมสูงขึ้นเยอะมาก

ภายหลังมาคิดได้ว่าการแสวงหาพืชใหม่ๆ มันเสียเวลาแล้วได้ประโยชน์น้อย ผมเลยหันมาสนใจพืชกินได้ เช่น มังคุด ซึ่งให้ผลดีกว่าอีกทั้งมีอยู่ทั่วไป ทำให้ผลิตได้คราวละมากๆ

ปรับสมดุลด้วยธรรมชาติ

ร่างกายเราประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวกว่า 20,000-55,000 ล้านเซลล์ เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ปรับสมดุลภูมิคุ้มกันในร่างกายเรา ถ้าเรามีเม็ดเลือดขาวน้อยเกินไป เราจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่น หวัด และมะเร็ง ในทางกลับกัน ถ้าเซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างภูมิคุ้มกันเยอะเกินไป ภูมิคุ้มกันของเราจะโจมตีตัวเอง เช่น โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง (SLE) สะเก็ดเงิน พาร์กินสัน รูมาตอยด์ และอัลไซเมอร์ หลักการตั้งต้นของเรา จึงมุ่งให้สารสกัดของเราทำงานกับเม็ดเลือดขาว ซึ่งผลจากการทดลองกับอาสาสมัครนั้นคืออยู่ในระดับที่ดีมาก แต่กว่าเราจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เราผ่านการวิจัยลองผิดลองถูกตามหลักวิทยาศาสตร์มาหลายสิบปี

ความสุขจากการให้

ผมได้มีโอกาสช่วยเหลือเด็กกำพร้าติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ตอนแรกที่ผมไปมีเด็กอยู่ประมาณ 70 ราย เด็กเหล่านี้ติดเชื้อแล้วสุขภาพไม่ดี มีโครงการของสภากาชาดเข้าไปให้ยาต้านไวรัสอยู่ ผมเลยนำนวัตกรรมของเราไปช่วยด้วย ขณะนั้นมีเด็ก 17 คนที่ใช้ยาต้านแล้วยังติดโรคฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดบวม ในเวลาสามเดือนทุกคนอาการดีขึ้นและใช้ชีวิตได้ปกติ จนถึงวันนี้เกือบแปดปีแล้ว ครั้งแรกที่ผมไป เจอเด็กคนหนึ่งเป็นวัณโรคที่สมอง พูดไม่ค่อยได้ เดี๋ยวนี้เวลาผมไปเยี่ยมเขาที่บ้าน ตอนลงจากรถ เขาจะมายืนรอที่หน้าบ้านแล้วเรียก ‘ดร.พิเชษฐ์ๆ’ คือเขาพูดได้ ยืนได้ สมองดีขึ้น เมื่อเด็กกินแล้วดีขึ้น เลยแบ่งยาไปให้เพื่อนกินบ้าง พอผมทราบเรื่อง เลยตัดสินใจแจกยาให้เด็กทุกคนฟรีมาตลอด ตอนนี้ทำมา 7-8 ปีแล้ว ค่าใช้จ่ายตกปีละประมาณ 3-4 ล้านบาท การไปบ้านนี้จรรโลงใจผมมาก กลับมาแล้วมีความสุขไปทั้งอาทิตย์ ความตั้งใจของผมตอนนี้คือให้เด็กทุกคนปลอดจากยาต้านไวรัส และใช้ชีวิตได้ปกติ

หวนคืนสู่รากเหง้า

สมัยผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแล้วเริ่มทำงานวิจัย ผมถูกสอนให้แสวงหาพืชพรรณใหม่ๆ ที่คนไม่ค่อยรู้จักเพื่อสร้างเป็นเกียรติประวัติแก่ตัวเอง ตอนนั้นเลยจัดทริปเข้าป่ากับผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ทุก 2-3 เดือน เอาพืชมาทดสอบแล้วพัฒนาสารบริสุทธิ์ออกมา ทำอย่างนี้อยู่นานพอสมควร แต่ภายหลังมาคิดได้ว่าการแสวงหาพืชใหม่ๆ มันเสียเวลาแล้วได้ประโยชน์น้อย ผมเลยหันมาสนใจพืชกินได้ เช่น มังคุด ซึ่งให้ผลดีกว่า อีกทั้งมีอยู่ทั่วไป ทำให้ผลิตได้คราวละมากๆ ธรรมชาติมีสิ่งมหัศจรรย์เยอะมาก และพืชผักผลไม้ไทยก็เปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ เราเพียงแต่เอาวิทยาศาสตร์มาทดลองเพื่อให้ผลนั้นปรากฏชัดเจนและเพิ่มประสิทธิภาพ

ผมไม่เคยสงสัยวิถีทางที่ผมเลือกดำเนินชีวิตเลย ‘Not a single moment of doubt (ไม่แม้แต่ชั่วขณะ)’ มีความสุขกับงานที่ทำตลอด มันคือชีวิตของเรา ทำให้เรามีเรื่องให้สนุกตื่นเต้นตลอดเวลา ผมรู้สึกว่างานที่ทำมันมีคุณค่า เลยเป็นแรงผลักดันให้ผมทำมันต่อไป

ปลดล็อกนวัตกรรมจากพืชไทย

ผมอยากช่วยพัฒนาวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น และสร้างนวัตกรรมของชาติ แต่หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ก็ต้องเปิดกว้างขึ้นในด้านมุมมองด้วย เราจะลอกเลียนนวัตกรรมจากต่างประเทศอย่างเดียวไม่ได้ อย่างเรื่องนวัตกรรมจากพืช บ้านเรามีพืชหมื่นกว่าชนิด อเมริกามีแค่พันกว่าชนิด ศักยภาพเราถือว่าสูงกว่ามาก แต่ยาสมัยใหม่จำกัดว่าต้องมีองค์ประกอบเดียว กฎเกณฑ์ตรงนี้จำกัดการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์มาก เพราะอันที่จริงแล้วนวัตกรรมจากธรรมชาตินั้นปลอดภัย เหมือนกับเรารับประทานพืชผักผลไม้ แล้วยาที่สกัดจากธรรมชาติมันราคาถูกกว่ามาก ซึ่งนับเป็นความท้าทายในการแข่งขันกับบริษัทยาข้ามชาติใหญ่ๆ และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคด้วย

พาตำรับไทยสู่แดนมังกร

ผมเป็นนักธุรกิจที่คิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ เป้าหมายสูงสุดของผมคือการนำสิ่งที่เราค้นคว้าวิจัยมาช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ผมมีโอกาสนำยาของเราไปใช้ที่ประเทศจีน ตอนนั้นผมยังไม่รู้แน่ชัดว่ายาของเรามีสรรพคุณทำให้เชื้อเอชไอวีหมดฤทธิ์ ในเวลานั้นจึงใช้คู่กับยาต้านไวรัสไป ภายหลังคนที่ใช้ทุกคนชอบใจเพราะสุขภาพดีขึ้นมาก แต่พาร์ทเนอร์ชาวจีนคิดว่ายังไม่มีตลาด เพราะยังมีการใช้ยาต้านคู่กันไป แต่เมื่อสองเดือนที่แล้ว เขาโทรมาบอกว่าแม่ของผู้อำนวยการสาธารณสุข เมืองฝอซานในกวางตุ้ง เป็นมะเร็งกระดูกระยะสุดท้าย เขาใช้แคปซูลเรายังไม่ถึงปีก็ใกล้หายแล้ว ตอนนี้ทางจีนเลยมีโครงการจะทดสอบยาเรากับผู้ป่วยมะเร็ง 50 ราย ถ้าภายใน 3-6 เดือน ผู้ป่วยหนึ่งในสามดีขึ้น เขาบอกว่ามีตลาดให้เราสำหรับการดูแลมะเร็งหนึ่งล้านคน แล้วเมื่อไม่นานมานี้ มีบริษัทจีนเข้ามาทำสัญญากับบริษัท APCO China ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเราเพื่อนำผลิตภัณฑ์เราไปขาย ถ้าสองโครงการนี้สำเร็จด้วยดี ผมคงรู้สึกว่าผมบรรลุเป้าหมายในชีวิตแล้ว และหันไปมุ่งช่วยเหลือคนอื่นๆ ต่อไป

หนักแน่นในแนวทาง

ผมไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เกือบจะเรียกได้ว่าปากกัดตีนถีบ ผมถูกสอนว่าถ้าจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ผมเป็นคนประเภทไม่ยอมแพ้และกัดไม่ปล่อย แล้วผมเป็นคนโชคดีมาก ผมไม่เคยสงสัยวิถีทางที่ผมเลือกดำเนินชีวิตเลย ‘Not a single moment of doubt (ไม่แม้แต่ชั่วขณะ)’ มีความสุขกับงานที่ทำตลอด มันคือชีวิตของเรา ทำให้เรามีเรื่องให้สนุกตื่นเต้นตลอดเวลา ผมรู้สึกว่างานที่ทำมันมีคุณค่า เลยเป็นแรงผลักดันให้ผมทำมันต่อไป ทั้งงานที่ APCO และงานช่วยเหลือเด็กกำพร้าป่วยในจังหวัดลพบุรี ในแต่ละวันผมใช้เวลาส่วนใหญ่ติดตามข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างตอนนี้ ผมก็คิดถึงการวิจัยเรื่องเทโลเมียร์ (Telomere) ซึ่งต่อยอดจากนวัตกรรมที่เราสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ โดยจะช่วยให้เซลล์ของมนุษย์อยู่ได้ยืนยาวขึ้น ชีวิตพวกเราจะดีขึ้นและเป็นกุญแจสำคัญแห่งการชะลอวัย

รู้จักกับศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียมเตรียมอุดมศึกษา ระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยม) ด้านวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Western Australia และระดับปริญญาเอกด้านเคมีอินทรีย์ มหาวิทยาลัย Tasmania ประเทศออสเตรเลีย ต่อมาได้รับทุนศึกษาต่อระดับหลังปริญญาเอกอีกสองใบ (Post-doctoral Fellow) จากมหาวิทยาลัย Connecticut และมหาวิทยาลัย Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ศ.ดร.พิเชษฐ์ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) (APCO)