SECTION
ABOUTTHE FAST LANE
Rough World
อากิระ นาไก ศิลปินผู้ปรับแต่งรถยนต์มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ใส่เสื้อเก่าเก็บดื่มเบียร์แทนน้ำและดูจะสูดควันบุหรี่แทนอากาศหายใจ
พื้นที่จัดงานริมทะเลสาบของอิมแพค เมืองทองธานีนั้น มีสภาพเกือบคล้ายทะเลทราย ลานกลางแจ้งซึ่งกินพื้นที่กว่า 150,000 ตารางเมตรนั้นซีดแตกจากการโดนแดดเผามาเป็นเวลาหลายสิบปี ในช่วงเวลากลางวัน ไอแดดจากพื้นถนนจะร้อนระอุจนสามารถคร่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้ การใช้เวลายามบ่ายที่นี่คงไม่ใช่ประสบการณ์น่าอภิรมย์นัก แต่แฟนตัวยงเรื่องรถหรือจักรยานยนต์นั้นอาจต้องทำใจกัดฟันรับสภาพ เพราะที่นี่คือสถานที่จัดอีเวนท์เกี่ยวกับยานยนต์ที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ แล้ว
หนึ่งในอีเวนท์ที่ว่าก็คือ #Dastreffen หรืองานรวมพลคนรักรถ Porsche ซึ่งจัดโดยนิตยสาร GT Porsche ในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี บรรดานักสะสมรถพอร์ชกระเป๋าหนักจะยอมละทิ้งความสบายของคอนโดหรูหรือคฤหาสน์ย่านชานเมือง และเดินทางมายังเมืองทองธานีเพื่อพบปะกับบรรดาผู้รัก ‘เจ้าชายกบ’ คนอื่นๆ ท่ามกลางแดดที่ไร้ความปราณี
งานดังกล่าวแสดงชัดถึงอำนาจการซื้อของเงินตรา ภายในพื้นที่จัดงานมีกองทัพพอร์ชรุ่นต่างๆ จอดเรียงกันอยู่ทั่ว และแม้บรรดาเจ้าของรถจะแต่งตัวลำลองในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น แต่หน้าปัดนาฬิกา Patek Philippe ที่สะท้อนจากระยะไกล รวมถึงแหวนเพชรวาววับ และแว่นกันแดดราคาแพงก็ดูราวกับจะเปล่งรัศมีแข่งกับดวงอาทิตย์ ภายในงานมีบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของประเทศมากหน้าหลายตา ทั้งเจ้าของโรงแรม ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ และเหล่ามหาเศรษฐีคนอื่นๆ ซึ่งต่างกระตือรือร้นจะอวดโฉมรถคันเงาวับของตน
กระนั้น ในงานดังกล่าว บุคคลผู้เป็นศูนย์กลางของความสนใจทั้งมวลกลับเป็นชายท่าทางธรรมดาๆ ภายใต้เสื้อยืดมอมแมม กางเกงยีนส์ขาด และคราบน้ำมันเครื่องบนสองมือ อากัปกริยาของเขาดูราวกับคนต้องใช้แรงงานหนักมาหลายสิบปี เขาแทบไม่ยิ้มหรือพูดจากับใคร เพียงแต่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นและคีบบุหรี่ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง โดยทันทีที่หมดมวน บุหรี่ตัวใหม่ก็จะถูกจุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่จากท่าทีของทุกคน ทำให้เดาได้ไม่ยากถึงความสำคัญของเขา ในบรรดาเต็นท์ไม่กี่หลังที่ทำหน้าที่กำบังแดดภายในงาน เต็นท์ที่เขานั่งอยู่นั้นหลังใหญ่ที่สุด และขณะที่แขกคนอื่นๆ ต้องยืนกรำแดดอยู่กลางสนาม เขากลับนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาหนัง และมีผู้ช่วยกุลีกุจอยกอาหารมาเสิร์ฟก่อนจะวิ่งวุ่นไปทั่วงานเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย กระทั่งเหล่าแขกวีไอพีที่ปกติจะแสดงท่าทีมั่นอกมั่นใจกลับดูเกร็ง และได้แต่ยืนล้อมวงอยู่รอบเต็นท์อย่างรักษาระยะ
เบื้องหน้าของพวกเขาคืออากิระ นาไก ตำนานผู้มีชีวิตในวัย 40 ปี เขาคือผู้ก่อตั้ง Rauh Welt Begriff (RWB) สำนักแต่งรถพอร์ชระดับโลกซึ่งเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ในวงการรถแข่ง คำว่า ‘ทูนเนอร์’ นั้นเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกผู้ที่ดัดแปลงหรือปรับเปลี่ยนแชสซีและตัวถังรถยนต์ด้วยวิธีการเฉพาะตัว สไตล์ของอากิระนั้นเป็นที่รู้กันในหมู่นักสะสมรถพอร์ชว่า ‘เกรี้ยวกราด’ ที่สุดในโลก กล่าวคือ ล้อต้องลึก โป่งล้อใหญ่ ตัวถังรถเชื่อมด้วยหมุดย้ำ สเกิร์ตข้างจะต้องลู่ลม ติดกันชนห้อยต่ำ และใช้สปอยเลอร์แบบยกสูง สไตล์การแต่งรถของอากิระนั้นมีเอกลักษณ์ชัดเจน และแม้แต่คนที่ไม่รู้จักเขาหรือสนใจเกี่ยวกับรถพอร์ชเลย ก็อาจเคยเห็นรถที่เขาแต่งผ่านตามาบ้างตามรายการโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ต่างๆ หรือกระทั่งบนท้องถนน คำว่าราห์เวล บูกรัฟฟ์นั้นเป็นวลีในภาษาเยอรมันที่แปลว่า “แนวคิดจากสัญชาตญาณดิบ” ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากการก่อตั้ง บริษัทของเขาได้ขยายสาขาไปยังกว่า 32 ประเทศทั่วโลก ขณะที่เสื้อยืดสกรีนโลโก้ RWB ก็ได้กลายเป็นเสมือนนิยามความเท่แบบนอกกระแสในหมู่สาวกพอร์ช
ถึงอากิระจะแต่งตัวปอนๆ แต่อันที่จริงเขาเองก็มีกำลังซื้อนาฬิกาหรูหรือเสื้อผ้าแบรนด์เนมใส่ไม่ต่างจากบรรดาแขกวีไอพีในงาน #Dastreffen ติดแค่ว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเครื่องแสดงสถานะทางสังคมเหล่านี้แต่อย่างใด “ผมสนใจแค่เรื่องรถกับการแต่งรถ อย่างอื่นไม่สำคัญสำหรับผม” อากิระกล่าวสั้นๆ ตามเอกลักษณ์
ตำนานคนนี้เริ่มต้นชีวิตในฐานะนักแข่งรถดริฟท์ภายใต้สังกัดทีม Rough World ของญี่ปุ่น แต่ภายหลังที่เขาได้ลงแข่งรายการดริฟท์ด้วยรถ Toyota รุ่นยอดนิยมอย่าง AE86 ในช่วงปี ’90s เขาก็เริ่มหันมาสนใจเรื่องการปรับแต่งรถยนต์ และค่อยๆ พัฒนาฝีมือจนเกิดเป็นดีไซน์เฉพาะตัวอย่างในปัจจุบัน กระนั้น เขาก็ยังไม่เคยได้สัมผัสรถพอร์ชแบบใกล้ชิดเลยจวบจนหลายปีต่อมาเมื่อเขาทำงานอยู่ในอู่รถแห่งหนึ่งตอนอายุ 28 ที่เขาตัดใจควักเงินซื้อรถพอร์ช รุ่น 930 และหั่นมันเป็นส่วนๆ แบบเดียวกับที่เขาทำกับรถคันอื่น ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของรถพอร์ชกว่า 20 คัน โดยคันที่เลื่องลือที่สุดคือ ‘สเตลลา’ รถพอร์ชรุ่น 930 ซึ่งเขาตั้งชื่อตามเบียร์ยี่ห้อโปรดของตัวเอง
สไตล์ของอากิระนั้นเป็นที่รู้กันในหมู่นักสะสมรถพอร์ชว่า ‘เกรี้ยวกราด’ ที่สุดในโลก
หกปีถัดมา อากิระได้ก่อตั้งบริษัทราห์เวล บูกรัฟฟ์ขึ้น และค่อยๆ สั่งสมชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักอย่างในปัจจุบัน แม้บริษัทของเขาจะมีสาขาอยู่ทั่วโลก แต่อากิระก็ยังรับหน้าที่ปรับแต่งรถยนต์ของลูกค้าด้วยตนเอง และชื่นชอบประเทศไทยเป็นพิเศษจนขนานนามให้เป็น “บ้านหลังที่สอง” ปกติเขาจะเดินทางมายังประเทศไทยราว 4 ครั้งต่อปี และปรับแต่งรถที่นี่ไปเป็นจำนวนแล้วกว่า 28 คัน โดยทุกครั้งอากิระจะลงมือสัมภาษณ์ลูกค้าของเขาทีละคน เพื่อให้รู้ถึงสไตล์ที่ชอบและวัตถุประสงค์การใช้รถ อากิระจะบินมาเริ่มงานทันทีที่ชิ้นส่วนต่างๆ ถูกส่งมาถึง ซึ่งวิธีการทำงานของเขาเองก็เป็นที่เลื่องลือไม่แพ้กัน เพราะแทบทุกสัปดาห์ อากิระจะเดินทางไปยังประเทศต่างๆ และขมักเขม้นทำงานอยู่ในโรงรถของลูกค้าจนมืดค่ำ โดยมีเพียงบุหรี่กับเบียร์สเตลลา อาทัวส์เป็นเชื้อเพลิง งานปรับแต่งทั้งหมดมักจะเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่กี่วัน
เมื่อใดก็ตามที่อากิระเริ่มลงมือทำงานแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะเบนความสนใจของเขาไปได้อย่างอีเวนท์ซึ่งจัดที่ริมทะเลสาบอิมแพค เมืองทองธานีเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการปรับแต่งรถพอร์ชขณะที่มีสายตาคนอื่นๆ จับจ้อง และหยุดพักเพียงเพื่อรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ หรือพูดคุยกับสตาฟเป็นครั้งคราว อากิระนั่งขัดสมาธิบนพื้นขณะที่ใช้เครื่องเจียร์ตัดแต่งชิ้นส่วนต่างๆ ก่อนจะบรรจงประกอบแต่ละส่วนลงบนแชสซีรถเหมือนตัวต่อเลโก้ เมื่อถูกขัดจังหวะจากผู้ช่วยที่ขอให้เขาออกมาถ่ายรูปกับนักข่าว อากิระเงยหน้าขึ้นมองและตอบตกลง ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้ผู้ช่วยที่ยืนงงต้องเดินกลับไปบอกนักข่าวที่รออยู่ให้กลับมาใหม่ในภายหลัง
อากิระนั้นมีความเป็นศิลปินมากกว่าช่างซ่อมรถ ขณะที่นักปรับแต่งรถพอร์ชคนอื่นๆ นั้นใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในงานตัดแต่งชิ้นส่วนรถยนต์ อากิระอาศัยเพียงความชำนาญจากมือของเขาในการตัดชิ้นส่วนต่างๆ โดยไม่มีการวัดใดๆ ทั้งสิ้น นิสัยดังกล่าวสร้างความหวาดผวาให้กับลูกค้าที่ไม่คุ้นเคยกับวิธีการทำงานของเขา แต่หลายคนก็กล่าวว่าผลงานที่ออกมานั้นไร้ที่ติและแม่นยำเกินมนุษย์ทั่วไป ส่งผลให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่กล่าวขานมากขึ้นไปอีก
ไบรอัน สก็อตโต้ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชื่อดังในแวดวงยานยนต์อย่าง Hoonigan อธิบายประสบการณ์ยามที่เห็นอากิระลงมือหั่นรถพอร์ช 911 Turbo ของเขาซึ่งเป็นรุ่นหายากแบบไม่มีการวัดว่าเป็นอะไรที่ “น่าหวาดเสียว” และ “ป่าเถื่อน” อากิระยังตั้งศูนย์ถ่วงล้อด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่นักปรับแต่งรถยนต์น้อยคนนักจะทำหากเป็นการปรับแต่งรถที่มีมูลค่าสูง แต่ไบรอันก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ารอยตัดนั้นออกมาเนี้ยบไร้ที่ติ และรถยังสามารถ “วิ่งด้วยความเร็วที่ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยไม่เอียงซ้ายหรือขวายามปล่อยพวงมาลัย และเมื่อแล่นผ่านพื้นขรุขระก็แทบไม่รู้สึกถึงแรงกระแทก จนนึกว่ากำลังขับ GT3” ไบรอันกล่าวในบทสัมภาษณ์ของนิตยสาร Car and Driver
“ผมชอบทำอะไรด้วยมือมากกว่า” อากิระ กล่าวราวกับกำลังพูดถึงการปั้นดินน้ำมัน ไม่ใช่การปรับแต่งเครื่องยนต์หนัก 1,300 กิโลกรัมที่มาพร้อมชิ้นส่วนนับพัน “มันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบเท่าตอนใช้คอมพิวเตอร์ตัด แต่งานที่ออกมากจะดูมีเอกลักษณ์กว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุด”
ขณะที่นักปรับแต่งรถพอร์ชคนอื่นๆ นั้นใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในงานตัดแต่งชิ้นส่วนรถยนต์ อากิระอาศัยเพียงความชำนาญจากมือของเขาในการตัดชิ้นส่วนต่างๆ โดยไม่มีการวัดใดๆ ทั้งสิ้น
แม้จะได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วทุกมุมโลก แต่ผลงานของอากิระก็ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อย หลายคนแสดงความเห็นที่รุนแรงต่อผลงานของเขา อย่างดีไซน์การโชว์หมุดรถนั้นถูกโจมตีว่า “ดูไม่สมประกอบ” ในทำนองเดียวกัน การ ‘หั่น’ รถพอร์ช รุ่นวินเทจซึ่งยังใช้ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์แบบเก่าจนเกินจะบูรณะให้กลับเหมือนเดิมได้นั้น สร้างความโกรธแค้นให้บรรดาสื่อในแวดวงยานยนต์หลายต่อหลายครั้ง
“ลูกค้าคนหนึ่งซื้อพอร์ชรุ่น 964 Turbo มา และเอาให้ช่างชาวญี่ปุ่นแปรสภาพจากรถแข่งดีๆ จนกลายเป็นซากเหล็กวิ่งได้” แจ็ค แบรูธ บอกเล่าความคิดเห็นของเขาต่อราห์เวล บูกรัฟฟ์ลงในบทความบนเว็บไซต์ The Truth about Cars พร้อมแสดงท่าทีตัดพ้ออากิระที่ดูเหมือนจะยังคงเดินหน้า ‘ทำลาย’ รถพอร์ชรุ่นที่เลิกผลิตไปแล้วอย่างไม่ลดราวาศอก
นักเขียนชื่อดังในแวดวงยานยนต์อีกรายอย่าง เดวี จี จอนห์สัน เรียกสไตล์การปรับแต่งรถของ อากิระว่าเป็น “โรงเชือดชั้นดี” โดยบทความดังกล่าวถูกตีพิมพ์ลงนิตยสารคาร์ แอนด์ ไดรฟเวอร์เมื่อปี 2011 อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ชื่อเสียงราห์เวล บูกรัฟฟ์เริ่มโด่งดังมากขึ้น
แน่นอนว่าอากิระไม่ยี่หระต่อความเห็นดังกล่าว “เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยแคร์เวลาคนพูดแบบนั้น แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ผมสนใจเฉพาะคนที่ชอบสไตล์ของผมแค่นั้น ผมไม่มีเวลามานั่งทำให้ทุกคนพอใจ ได้” เขากล่าว
ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่เหล่าศิลปินและผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมีร่วมกันก็คือความมุ่งมั่นทุ่มเท เวลาทำงานพวกเขาจะปิดตัวเองจากโลกภายนอก อย่างในกรณีของอากิระ ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ครุ่นคิดเกี่ยวกับการแต่งรถ และไม่มีอะไรจะหยุดความแน่วแน่ของเขาได้
“ผมไม่เคยคิดเรื่องอนาคต ผมอยู่กับปัจจุบัน อนาคตสำหรับผมมีแค่วันพรุ่งนี้” อากิระกล่าว
คำกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด ณ พื้นที่จัดงานริมทะเลสาบอิมแพค เมืองทองธานี เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงแล้วที่อากิระยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ขณะที่ปรับแต่งชิ้นส่วนต่างๆ ของตัวรถ ท่ามกลางเหล่าแฟนๆ ที่เฝ้าดูอยู่โดยรอบ ทุกครั้งที่รถพอร์ชรุ่นหายากส่งเสียงกระหึ่มขณะแล่นผ่านเต็นท์ไป ฝูงชนจะหันขวับและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพไว้ลงอินสตาแกรมโดยพร้อมเพรียง แต่ตัวอากิระนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์และไม่ทันสังเกตถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เขาก้มหน้าก้มตาทำงานต่อจนถึงค่ำ
น่าเชื่อว่า พรุ่งนี้ยามเขาลืมตาตื่นขึ้น อากิระก็จะยังคงตั้งหน้าตั้งตาตัด เจียร์ และเชื่อมชิ้นส่วนต่างๆ ของตัวรถให้ออกมาเป็นประติมากรรมในแบบของเขา โดยไม่สนว่าจะมีผู้ชมเฝ้าดูอยู่รอบๆ หรือไม่ ■
Essentials
■
RWB Thailand
10 ซอยรามอินทรา 101 ถนนรามอินทรา กรุงเทพฯ
โทร. 081-806-4911
www.rwbthailand.com