SECTION
ABOUTFULL FLAVOURS
Back to the Origin
เผยโฉมเกษตรยั่งยืนรูปแบบใหม่ในเชียงใหม่ที่ดีต่อใจทั้งต่อเจ้าของร้านอาหารและเกษตรกร
เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว มีอะไรบางอย่างดังขึ้นในสมองของ เจมส์ โนเบิล (James Noble) เชฟระดับมิชลินสตาร์แห่งรีสอร์ทหรู Cotton House บนเกาะส่วนตัว Moustique อันโด่งดัง ในครั้งนั้น เขาฉุกคิดได้ว่าการสรรหาวัตถุดิบชั้นเลิศทั้งผัก ผล ไม้ หรือเนื้อสัตว์ ที่ต้องใช้เวลาขนส่งข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นระยะทางกว่าครึ่งโลกและเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซคาร์บอนจำนวนมหาศาลนั้นเป็นวิธีที่ผิด เขาเชื่อว่าต้องมีวิธีอื่นที่จะได้มาซึ่งวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมและทำให้ลูกค้ามีความสุขในการรับประทานอาหารโดยไม่ทำร้ายโลกขนาดนั้น
โนเบิลจึงตัดสินใจแขวนผ้ากันเปื้อนจากรีสอร์ทหรูระดับโลกและเดินทางมายังประเทศไทยในปี 2545 โดยเข้าทำงานที่อีโครีสอร์ทในหัวหินและสมุยตามลำดับ ก่อนที่จะตัดสินใจทิ้งงานที่รีสอร์ทในปี 2560 เพื่อสานฝันในการทำเกษตรยั่งยืนอย่างเต็มรูปแบบโดยไร้การปล่อยก๊าซคาร์บอน 100% ฟาร์มของโนเบิลที่หัวหินได้รับการยกย่องว่าสร้างสรรค์และประสบความสำเร็จอย่างมาก
แต่นั่นไม่พอเพียง เขาเดินหน้าทำงานที่ใหญ่ขึ้นอีกระดับภายใต้แนวคิดเดิม ฟาร์มแห่งใหม่ของโนเบิลมีเนื้อที่ประมาณ 885 ไร่ ตั้งอยู่ในเชียงใหม่ โดยสร้างขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับโรงแรมบันยันทรีและมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้
โนเบิลเล่าถึงโครงการของเขาว่า “ตอนนั้นผมกำลังทำฟาร์มตามความฝันอยู่ แล้วก็มีผู้บริหารของโรงแรมบันยันทรีมาที่ฟาร์มและรับประทานอาหารที่ร้านของผม ปรากฏว่าพวกเขาชอบแนวคิดและแรงบันดาลใจในการทำฟาร์มของผมมาก และถามผมว่าสนใจร่วมธุรกิจโดยเข้าไปทำฟาร์มในพื้นที่ของโรงแรมไหม”
นี่จึงเป็นที่มาของโครงการ Ori9ins ซึ่งก็มีรูปแบบเหมือนกับฟาร์มที่เขาเคยทำที่หัวหิน กล่าวคือ เป็นการปลูกพืชตามสั่งจากลูกค้าโดยมีร้านอาหารอยู่ในพื้นที่ฟาร์มด้วย ตัวร้านอาหารนั้นบ่งบอกอัตลักษณ์และแนวคิดหลักของโนเบิลไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่รายละเอียดในภาชนะหรือเครื่องครัวซึ่งเขาเลือกใช้จานชามดินเผาทำมือจากช่างปั้นในท้องถิ่น ไปจนถึงการรังสรรค์เมนูเด็ดอย่าง ‘ไส้กรอก โชริโซ่ เชียงใหม่’ ที่เสิร์ฟพร้อมกับกุ้งแม่น้ำสดๆ หรือ ‘สเต็กลาบทาร์ทาร์’ ที่ใช้เนื้อวัวในท้องถิ่น ทุกอย่างสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างร้านอาหารกับผู้คนในชุมชน
การผลิตอาหารเป็นไปตามความต้องการของผู้บริโภคแต่ยิ่งมีความต้องการผลผลิตเป็นจำนวนมากก็ต้องปลูกให้เร็วขึ้นและจำเป็นต้องใช้วิธีลัดเข้าช่วยซึ่งไม่เคยเป็นวิธีที่ดี
แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดของออริจินส์ก็คือลูกค้าสามารถเข้ามาเช่าพื้นที่ในฐานะนักลงทุนและสามารถควบคุมการผลิตในพื้นที่ของตนได้ด้วย โดยลูกค้ารายใหญ่ของฟาร์มนี้ก็มีทั้งร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เช่น Paste และ Suhring ซึ่งก็เคยเป็นลูกค้าเก่าของโนเบิลสมัยเปิดฟาร์มที่หัวหินนั่นเอง
และแน่นอนว่าเมื่อมีลูกค้าชั้นดีมากมายแบบนี้ โนเบิลจึงต้องเตรียมพร้อมตอบสนองความต้องการที่ไม่ธรรมดาอยู่เสมอ บางครั้ง ลูกค้าร้องขอมาว่าอยากได้ผลิตผลที่ไม่ใช่พืชพรรณพื้นถิ่นของไทย เช่น แครอทดำ ลูกฟิก (มะเดื่อฝรั่ง) และวานิลลา แต่โนเบิลก็มีความสุขที่ได้ทดลองทำอะไรที่ท้าทาย ขอเพียงสิ่งนั้นไม่นำไปสู่การใช้พลังงานสูงที่เสี่ยงต่อการปล่อยมลพิษ
“การผลิตอาหารเป็นไปตามความต้องการของผู้บริโภค แต่ยิ่งมีความต้องการผลผลิตเป็นจำนวนมาก ก็ต้องปลูกให้เร็วขึ้นและจำเป็นต้องใช้วิธีลัดเข้าช่วย ซึ่งไม่เคยเป็นวิธีที่ดี”
โนเบิลหวังว่าฟาร์ม Ori9ins นี้จะจุดประกายให้ชุมชนท้องถิ่นให้หันมาสนใจการทำเกษตรรูปแบบใหม่นี้ โดยการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจและจัดการท่องเที่ยวชมฟาร์ม เขาหวังว่าโครงการนี้จะสามารถต่อยอดความสำเร็จจากฟาร์มแห่งแรกของเขา รวมทั้งเป็นการเผยแพร่แนวความคิดนี้ไปทั่วประเทศไทยหรือในที่อื่นๆ ด้วย
“ทุกคนควรมีสิทธิ์เช่าที่ดินเพื่อการเกษตรโดยให้เกษตรกรเป็นผู้ผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้าหรือผู้บริโภคโดยตรง” โนเบิล กล่าว กระนั้นสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ซื้อ ผู้ผลิตภาคเกษตร และองค์กรธุรกิจทั้งหลาย สามารถหลุดพ้นจากวงจรของการผูกขาด และตลาดของรายใหญ่
และเมื่อนั้นเราก็อาจจะได้มีกะหล่ำปลี มะเขือเทศ หรือแม้กระทั่งแครอทดำออร์แกนิก หรือฝักวานิลลาที่เสิร์ฟมาโดยไม่สร้างคาร์บอนและกล่าวได้ว่าเป็นผักจากสวนของเราเอง ■