HOME ISSUE

SECTION

ABOUT

FULL FLAVOURS


Melt in Your Mind

เจาะลึกเบื้องหลังแบรนด์ไอศกรีมสัญชาติไทย ผู้ช่วยยกระดับความ 'คราฟต์' ของวัฒนธรรมไอศกรีมในกรุงเทพฯ ผ่านการเลือกใช้วัตถุดิบแปลกใหม่ กรรมวิธีอันพิถีพิถัน และการลองผิดลองถูก จนเกิดเป็นไอศกรีมรสชาติเฉพาะตัว

ในวันที่หิมะโปรยปรายของปี 2014 ขณะที่ระริน ธรรมวัฒนะ และนที จรัสสุริยงค์ สองนักศึกษาปริญญาโทหลักสูตรบริหารธุรกิจของ Babson College กำลังเดินเล่นอยู่บนท้องถนนในเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา พวกเขาก็สังเกตเห็นความแปลกประหลาดบางอย่าง ตรงหน้าร้านไอศกรีมแห่งหนึ่งมีผู้คนต่อแถวยาวล้นออกมานอกร้าน

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้ทั้งคู่เป็นอย่างมาก เหตุใดคนอเมริกันจึงต่อแถวรอซื้อไอศกรีมท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ พวกเขาเก็บเอาความสงสัยนี้ไปถามเพื่อนในชั้นเรียน ก่อนจะได้รับคำตอบว่าการรับประทานไอศกรีมนั้นทำให้ชาวเมืองบอสตันนึกถึงบรรยากาศในช่วงฤดูร้อน (ซึ่งมีระยะเวลาเพียง 4 เดือน จากเดือนมิถุนายนถึงกันยายน) ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวบอสตันจะออกไปปิกนิกที่สวนสาธารณะกับครอบครัว หรือนอนผึ่งแดดริมทะเลสาบ ดูเหมือนว่าการต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บเกือบตลอดทั้งปี จะทำให้พวกเขาโหยหาเครื่องเตือนใจถึงฤดูร้อนอันแสนอบอุ่น แม้สิ่งนั้นจะเป็นของเย็นอย่างไอศกรีมก็ตาม

นับแต่นั้นมา ระรินและนทีก็ตกหลุมรักในวัฒนธรรมไอศกรีมของบอสตัน เมืองแห่งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของคราฟต์ไอศกรีม อันหมายถึงไอศกรีมที่ทำขึ้นในปริมาณน้อยจากวัตถุดิบคุณภาพ และมักนำเสนอรสชาติพิเศษกว่าไอศกรีมทั่วไป ย้อนกลับไปในปี 1973 ร้านไอศกรีมเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Steve’s Ice Cream ได้เริ่มต้นกระแสการ ‘mix-in’ หรือการนำส่วนผสมที่ผู้คนนึกไม่ถึงมาสร้างสรรค์เป็นไอศกรีมรสชาติแปลกใหม่ขึ้น นอกเหนือไปจากรสช็อกโกแลตชิป สตรอว์เบอร์รี หรือวานิลลา จนทำให้สตีฟส์ ไอศกรีมได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าเจ้าของร้านไอศกรีมชื่อดังหลายแห่งในบอสตันก็เริ่มต้นจากการเป็นลูกมือของร้านสตีฟส์ ไอศกรีมนี่เอง

แบรนด์คราฟต์ไอศกรีมสัญชาติไทยมักนำเสนอรสชาติเฉพาะตัว อันเกิดจากการผสมผสานวัตถุดิบแปลกใหม่และการลองผิดลองถูก ปัจจัยเหล่านี้เองช่วยยกระดับประสบการณ์การรับประทานไอศกรีม ให้ใกล้เคียงกับการรับประทานอาหารฝีมือเชฟ

ปัจจุบัน ระรินและนทีเป็นเจ้าของ Guss Damn Good ร้านไอศกรีมสไตล​์บอสตันซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจุดกระแสวัฒนธรรมคราฟต์ไอศกรีมของกรุงเทพฯ ทั้งคู่คิดค้นไอศกรีมรสชาติแปลกใหม่ขึ้นจากประสบการณ์การใช้ชีวิตในบอสตัน และหลายครั้งจงใจตั้งชื่อไอศกรีมให้ฟังดูคลุมเครือ อาทิ รส Don’t Give Up #18 หรือ Stand by Me ไอศกรีมของร้านกัส แดม กู้ดนั้นมีรสชาติเข้มข้นและเนื้อสัมผัสเนียนหนึบ อย่างรส Maine Rocky Coast ที่มีความกรุบของอัลมอนด์เคลือบคาราเมลตัดกันอย่างลงตัวกับความเค็มของเกลือทะเล ชวนให้นึกถึงลมเย็นๆ ริมชายหาดโขดหินในรัฐเมนส่วนรส Here’s Your Damn Good Chocolate นั้นเข้มข้นไปด้วยรสชาติของโกโก้ 70% และเกล็ดดาร์กช็อกโกแลต โดยนอกจากเรื่องคุณภาพแล้ว ทางแบรนด์ยังเน้นชูความโดดเด่นของวัตถุดิบและพยายามใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด

ไม่ใช่แค่เพียงกรุงเทพฯเท่านั้น จากข้อมูลของ Mordor Intelligence บริษัทวิจัยตลาดซึ่งเคยร่วมงานกับผู้เล่นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมไอศกรีมอย่างเนสท์เล่ แสดงให้เห็นว่าไอศกรีมพรีเมียมนั้นกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ เนื่องจากไอศกรีมพรีเมียมนั้น “ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและมีอากาศเป็นส่วนผสมน้อยกว่า (ส่งผลให้เนื้อไอศกรีมมีความหนึบ)” ในทำนองเดียวกับที่ความนิยมในกระแส ‘ฟู้ด อาร์ติซาน’ นั้นสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงคุณภาพของสิ่งที่ตัวเองหยิบจับเข้าปากมากขึ้น จึงหันมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อาทิ ขนมปัง ชีส และเนื้อสัตว์​ จากผู้ผลิตรายย่อยโดยตรง

รส Don’t Give Up #18 ซึ่งเป็นรสชาติแรกที่ระรินและนทีคิดค้นขึ้น ทั้งคู่นำนมและครีมทุกยี่ห้อที่มีในท้องตลาดมาทดลองจับคู่กันอยู่ 18 ครั้ง กว่าจะได้ไอศกรีมรสนมเนื้อเนียนนุ่มอันเป็น ‘รสชาติแบบบอสตัน’

นอกจากนี้ ความหลากหลายของรสชาติไอศกรีมก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกับในบอสตัน แบรนด์คราฟต์ไอศกรีมสัญชาติไทยมักนำเสนอรสชาติเฉพาะตัว อันเกิดจากการผสมผสานวัตถุดิบแปลกใหม่และการลองผิดลองถูก ปัจจัยเหล่านี้เองช่วยยกระดับประสบการณ์การรับประทานไอศกรีมให้ใกล้เคียงกับการรับประทานอาหารฝีมือเชฟ “เรากินไอศกรีมเพื่อความสุขมากกว่าเพื่อให้อิ่มท้อง” จิรายุ คูอมรพัฒนะ บล็อกเกอร์สายอาหารและหุ้นส่วนเพจ wearekinkin บนอินสตาแกรม กล่าว เธอเปรียบเทียบวัฒนธรรมไอศกรีมในปัจจุบันกับการดื่มกาแฟ คนนิยมออกไปรับประทานไอศกรีมนอกบ้านกันมากขึ้น โดยเฉพาะในโอกาสพิเศษ ทำให้ความคาดหวังทั้งในแง่คุณภาพและประสบการณ์ที่ได้รับนั้นสูงขึ้น

ในประเทศไทย ร้านไอศกรีมรายย่อยนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ โดยกลุ่มแรกคือร้านไอศกรีม ซึ่งเสิร์ฟไอศกรีมที่อัดแน่นไปด้วยสารพัดท็อปปิ้ง นับตั้งแต่มาร์ชเมลโล วาฟเฟิล เกล็ดน้ำตาล ไปจนถึงผลไม้สด หรือมาพร้อมควันพวยพุ่งจากน้ำแข็งแห้งเพื่อสร้างความตื่นตา อย่างไรก็ดี ร้านไอศกรีมเหล่านี้มักสั่งไอศกรีมคราวละมากๆ จากผู้ผลิตรายใหญ่ เพื่อนำมาประกอบเป็นเมนูของตนเอง โดยพวกเขาเน้นขายรูปลักษณ์มากกว่ารสชาติและความคราฟต์ของไอศกรีม ต่างจากผู้ผลิตอย่างระรินและนทีแห่งกัส แดม กู้ด ที่ใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับการเสาะหาวัตถุดิบ และการปรับเปลี่ยนส่วนผสมให้ได้รสสัมผัสใกล้เคียงกับไอศกรีมบอสตันในความทรงจำของพวกเขามากที่สุด

ไอศกรีมนมที่ปราศจากอิมัลซิไฟเออร์จะมีอายุเก็บรักษาอยู่ที่ประมาณ 12 ชั่วโมง ก่อนที่ผลึกน้ำแข็งจะโตขึ้นส่งผลให้ไอศกรีมมีเนื้อหยาบ ซึ่งร้านพีซ ออเรียนทัล ทีเฮาส์ก็ดูจะยอมรับกับความจริงข้อนี้แต่โดยดี

กระนั้น กระบวนการดังกล่าวก็ต้องอาศัยทั้งเวลาและความทุ่มเท อย่างรส Don’t Give Up #18 ซึ่งเป็นรสชาติแรกที่ระรินและนทีคิดค้นขึ้น ทั้งคู่นำนมและครีมทุกยี่ห้อที่มีในท้องตลาดมาทดลองจับคู่กันอยู่ 18 ครั้ง กว่าจะได้ไอศกรีมรสนมเนื้อเนียนนุ่มอันเป็น ‘รสชาติแบบบอสตัน’ ที่พวกเขาคุ้นเคย ผู้ผลิตคราฟต์ไอศกรีมรายอื่นๆ ก็ยึดถือหลักการแบบเดียวกัน พวกเขาให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัตถุดิบและกรรมวิธีอันพิถีพิถันมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก

ณัฐฐิตา เวทยะเวทิน เป็นอีกคนที่หลงใหลในคราฟต์ไอศกรีม เธอเป็นผู้ก่อตั้ง Peyton Brown’s Small Batch Ice-cream ร้านไอศกรีมเล็กๆ ในกรุงเทพฯ ซึ่งลูกค้าต้องสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์เท่านั้น ทุกๆ สัปดาห์ เธอจะออกไอศกรีมรสชาติใหม่ 2 รส และมักตั้งชื่อรสให้ฟังดูมีเรื่องราวไม่แพ้ร้านกัส แดม กู้ด อาทิ Breakfast Bowl ซึ่งเป็นไอศกรีมนมรสซีเรียลผสมคอร์นเฟลกส์ หรือ Modena on Canvas ไอศกรีมรสชีสมาสคาร์โปเนผสมบัลซามิก หญิงสาวรายนี้เริ่มหลงใหลในวัฒนธรรมไอศกรีมตั้งแต่สมัยที่ไปเรียนต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในลูกค้าประจำของร้านไอศกรีมชื่อดัง Salt & Straw พอกลับมายังประเทศไทย เธอก็พบว่าตัวเองไม่สามารถหาไอศกรีมที่มีรสชาติใกล้เคียงกันได้เลย จึงตัดสินใจเปิดร้านไอศกรีมของตัวเองขึ้นมา “ไอศกรีมแบบไทยนั้นไม่หลากหลายเท่ากับที่เราเห็นในสหรัฐฯ​ เราเลยตัดสินใจลองทำดูมันเริ่มจากการที่เราเป็นคนชอบกินไอศกรีม ฉะนั้นพอมาทำขาย เราเลยไม่ใส่ส่วนผสมที่เราเองก็ไม่กินลงไป” เธออธิบาย

หนึ่งในส่วนผสมที่ว่านั้นคืออิมัลซิไฟเออร์ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่พบได้ทั่วไปในไอศกรีมชื่อดังหลายยี่ห้อ และมีคุณสมบัติช่วยรักษาเนื้อไอศกรีมให้มีความเรียบเนียนและละลายช้าลงอันตรายจากการใช้สารอิมัลซิไฟเออร์อาจยังไม่มีการสรุปชัด แต่ผู้ผลิตไอศกรีมอย่างพีตัน บราวนส์ยืนยันว่าสารเคมีดังกล่าวทำให้ไอศกรีมเสียรสชาติ จึงหลีกเลี่ยงการใช้อิมัลซิไฟเออร์โดยสิ้นเชิง

ไข่คือสารอิมัลซิไฟเออร์ที่ได้จากธรรมชาติ และผู้ผลิตมักเรียกไอศกรีมผสมไข่นี้ว่าเป็นไอศกรีมแบบ ‘คัสตาร์ดเบส’ อันเป็นหนึ่งในกรรมวิธีทำไอศกรีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ขณะที่ไอศกรีมของพีตัน บราวนส์เป็นสไตล์ฟิลาเดเฟีย ซึ่งไม่ใส่ไข่และหนักนม และถือเป็นกรรมวิธีทำไอศกรีมแบบดั้งเดิม “เวลาทำไอศกรีมนม เราไม่สามารถใส่ไข่ลงไปในส่วนผสมได้เลย แต่ขณะเดียวกันไข่ก็ถือเป็นอิมัลซิไฟเออร์และสารเพิ่มความคงตัวตามธรรมชาติที่ช่วยให้เนื้อไอศกรีมมีความนุ่ม และชะลอการโตของผลึกน้ำแข็งซึ่งจะทำให้คุณภาพของไอศกรีมลดลง” ธีรชัย ลิมป์ไพฑูรย์ แห่งร้าน Peace Oriental Teahouse อธิบาย

ธีรชัยและทีมงานมุ่งเน้นการทำไอศกรีมนมแท้ๆ จึงไม่ใส่อิมัลซิไฟเออร์ชนิดใดลงไปในส่วนผสม ร้านชาระดับรางวัลแห่งนี้หยิบยกวัฒนธรรมการชงชาแบบตะวันออกมาประยุกต์ใช้กับการทำไอศกรีม จึงยึดความสามัญเรียบง่ายเป็นหัวใจ และหลีกเลี่ยงการใช้วัตถุดิบหวือหวาหรือส่วนผสมที่ซับซ้อน นอกจากสารพัดเครื่องดื่มชาเขียวแล้ว ทางร้านยังมีตัวเลือกเป็นไอศกรีมชาเขียวเข้มข้น และไอศกรีมนมโฮมเมดที่เสิร์ฟพร้อมชาเขียวชงข้นในถ้วย โดยไอศกรีมแต่ละลูกจะถูกเสิร์ฟมาในถ้วยไม้สีเข้ม พร้อมถาดรองไม้และตะเกียบ

จากคำบอกเล่าของธีรชัย ขั้นตอนอันพิถีพิถันนี้ต้องอาศัยทั้งหยาดเหงื่อแรงกาย และเครื่องไม้เครื่องมือราคาแพง โดยทั่วไปแล้ว ไอศกรีมนมที่ปราศจากอิมัลซิไฟเออร์จะมีอายุเก็บรักษาอยู่ที่ประมาณ 12 ชั่วโมง ก่อนที่ผลึกน้ำแข็งจะโตขึ้นส่งผลให้ไอศกรีมมีเนื้อหยาบ ซึ่งร้านพีซ ออเรียนทัล ทีเฮาส์ก็ดูจะยอมรับกับความจริงข้อนี้แต่โดยดี “ถ้าเกิดว่าไอศกรีมนมที่เนื้อบางเบาแต่ให้รสสัมผัสเข้มข้นจะต้องทำจากครีม นม และน้ำตาลที่ดีที่สุดก็ให้มันเป็นอย่างนั้น และถ้าไอศกรีมนมจะต้องตกผลึกภายใน 12 ชั่วโมง เราก็จะทำมันใหม่ทุกๆ เช้าและนำออกมาเสิร์ฟภายใน 12 ชั่วโมง ง่ายๆ แค่นั้นเอง” เขากล่าว

ธีรชัยยังลงทุนสั่งซื้อเครื่องทำไอศกรีมราคาแพงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์หลายเครื่อง เพื่อให้ทางร้านสามารถผลิตไอศกรีมคุณภาพสูงในปริมาณน้อย ไว้รองรับกับความต้องการของลูกค้าแต่ละสาขาอีกด้วย วิธีการสุดขั้วนี้อาจใช้ได้ผลกับร้านพีซ ออเรียนทัล ทีเฮาส์ แต่ไม่ใช่กับแบรนด์อย่างกัส แดม กู้ด ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 9 แห่ง แม้กรรมวิธีจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ทั้งสองแบรนด์ก็มีจุดขายตรงความคราฟต์​ และต่างเชื่อว่าการทำไอศกรีมนั้นเป็นวิทยาศาสตร์

นอกจากนี้ กลยุทธ์ทางการตลาดของกัส แดม กู้ด ยังช่วยให้พวกเขาขายไอศกรีมได้มากขึ้น ที่ผ่านมาระรินและนทีได้จับมือกับแบรนด์ดังมากมาย อาทิ dtac, TOMS และ Wet n Wild เพื่อออกไอศกรีมรสชาติพิเศษ แต่ความร่วมมือในลักษณะนี้ก็เคยทำให้พวกเขาตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์มาแล้ว ครั้งหนึ่งทั้งคู่มีโอกาสร่วมงานกับนิตยสาร A Day ในการคิดค้นไอศกรีมเพื่อสะท้อนประเด็นโรคซึมเศร้าและสุขภาพจิต ในขั้นตอนการพัฒนารสชาติไอศกรีม ระรินและนทีได้เข้าไปค้นคว้าข้อมูลผ่านการสังเกตการณ์การรักษาของจิตแพทย์กับผู้ป่วย แต่เมื่อไอศกรีมในชื่อ Stand by Me ซึ่งมีส่วนผสมของราสเบอร์รีและช็อกโกแลตนั้นเปิดตัวสู่ท้องตลาด พวกเขากลับถูกโจมตีอย่างหนักบนโลกออนไลน์ว่าหากินกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า แต่นทีบอกว่าเขาไม่ได้ตกใจกับเสียงวิจารณ์นัก “ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ เราคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องเจอคนด่าบ้าง” เขาเล่า

แบรนด์คราฟต์ไอศกรีมส่วนใหญ่มักหยิบยกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้าของแบรนด์เอง หรือประเด็นทางสังคมต่างๆ มาบอกเล่าเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้บริโภค ปัจจุบัน คนไม่ได้เลือกซื้อของสักชิ้นเพียงเพราะปัจจัยเรื่องคุณภาพ แต่ยังต้องการทราบถึงความเป็นมาของสินค้าชิ้นนั้นๆ ด้วย ทำให้ทุกครั้งที่ณัฐฐิตาแห่งร้านพีตัน บราวนส์เปิดตัวไอศกรีมรสชาติใหม่ เธอจะเขียนพรรณนาสั้นๆ ถึงที่มาของแต่ละรสชาติไว้ด้วยเสมอ อย่างไอศกรีมรส English Breakfast Tea นั้นเธอได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรยากาศสบายๆ ยามเช้าของกรุงลอนดอนขณะที่เธอนั่งจิบชาและทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนหนึ่งในรสชาติล่าสุดอย่าง WFH (Work from Home) เธอได้หยิบยกสถานการณ์ปัจจุบันที่ตัวเธอและชาวกรุงเทพฯ อีกหลายคนต้องเก็บตัวทำงานอยู่ที่บ้าน มาบอกเล่าผ่านไอศกรีมกาแฟผสมอัลมอนด์กรอบเคลือบคาราเมล โดยณัฐฐิตาเลือกใช้เมล็ดกาแฟคั่วพิเศษจากร้านกาแฟโปรดใกล้บ้านที่เธอแวะเวียนไปซื้อเป็นประจำก่อนเริ่มงาน ส่วนระรินและนทีแห่งร้านกัส แดม กู้ดนั้นจงใจที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวของไอศกรีมแต่ละรสตรงๆ หากลูกค้าคนใดอยากทราบถึงที่มาของไอศกรีมรส High-school Sweetheart หรือ Kiss Me Good Day พวกเขาต้องถามเอาเองจากพนักงานตักไอศกรีมของทางร้าน ซึ่งทุกคนล้วนยินดีจะอธิบายให้ฟัง

แน่นอนว่าผู้เล่นรายใหญ่ที่ผลิตเป็นแบบอุตสาหกรรม จะยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมไอศกรีม และคงเป็นการยากที่ผู้เล่นรายย่อยจะก้าวขึ้นมาแข่งขันได้ในแง่ของกำลังการผลิต ต่อให้เป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างกัส แดม กู้ดก็ตาม สิ่งที่แบรนด์เล็กๆ มีข้อได้เปรียบก็คือเรื่องความเร็วและความเปิดกว้างในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์​ อย่างร้านพีตัน บราวนส์สามารถออกไอศกรีมรสชาติใหม่ได้ทุกสัปดาห์ ในขณะที่บริษัทใหญ่อาจต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือน

กระนั้น ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นแบรนด์ไอศกรีมยักษ์ใหญ่ลงมาตีตลาดคราฟต์ไอศกรีมแข่งกับเจ้าเล็กๆ เหมือนที่เกิดขึ้นมาแล้วในอุตสาหกรรมเบียร์และกาแฟ และเมื่อถึงวันนั้น แวดวงคราฟต์ไอศกรีมในบ้านเราก็คงจะมี ‘รสชาติ’ ยิ่งเข้าไปอีก

Essentials


Guss Damn Good

ชั้น G อาคาร Woof Pack ซอยศาลาแดง 1 กรุงเทพฯ

02-121-7138

fb.com/gussdamngood

Peace Oriental Teahouse

47 ซอยสุขุมวิท 49/1 กรุงเทพฯ

063-637-0508

fb.com/peace.t.house

Peyton Brown’s Small Batch Ice-cream

304 ซอยปรีดีพนมยงค์ 42 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ

081-535-4564

fb.com/peytonbrownsicecream