SECTION
ABOUTTHINKING BIG
The Green Rush
ประเทศไทยสร้างความตกตะลึงให้แก่ประชาคมโลกด้วยการประกาศให้กัญชาถูกกฎหมายเป็นประเทศแรกในเอเชีย ทั้งๆ ที่มีจุดยืนอย่างแข็งกร้าวต่อยาเสพติดมาโดยตลอด เม็ดเงินมหาศาลจากพืชสีเขียวชนิดนี้ดูจะเป็นสิ่งที่หลายคนมุ่งหวัง
ในเวลาบ่ายแก่ๆ ณ ย่านสุขุมวิท ซอย 11 ผู้คนในละแวกนั้นย่อมคุ้นเคยกับกลิ่นต่างๆ ที่ลอยฟุ้งผสมอบอวลกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นควันรถยนต์จากการจราจรอันคับคั่ง กลิ่นบะหมี่ผัดและเนื้อย่างเสียบไม้จากร้านค้าข้างทาง แต่ทุกวันนี้กลับมีกลิ่นของกัญชาคุณภาพสูงเจืออยู่ด้วย ซึ่งมาจากมวนกัญชาขนาดใหญ่ที่ถูกจุดสูบอยู่นอกบาร์
ก่อนหน้าการปลดล็อกกัญชา กรุงเทพฯ หลังโรคระบาดยังคงเงียบเหงา เมืองที่เคยเต็มไปด้วยแสงสีและความสนุกสนานยามค่ำคืนยังไม่สามารถฟื้นตัวจากความเสียหายอันเกิดจากคำสั่งปิดบาร์ คลับ และร้านอาหารที่กินเวลายาวนานถึง 2 ปีครึ่ง ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ทว่านับตั้งแต่การประกาศให้ถูกกฎหมายเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธุรกิจกัญชาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายกัญชาแบบป๊อปอัปไปจนถึงร้านขายบ้องและอุปกรณ์เกี่ยวกับกัญชา ต่างสร้างความครึกครื้นให้แก่ย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ อีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ริมสองฝั่งถนนสุขุมวิท และถนนข้าวสาร
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายสนับสนุนนโยบายกัญชาเสรีในประเทศ
“ผมเชื่อว่าไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้ เดือนแรกนี่เรียกได้ว่า ‘สุด’ มาก เพราะคนขายกัญชากันทุกที่และทุกรูปแบบ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่ามันน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีกว่าจะทำให้คนยอมรับเรื่องกัญชาได้” ฟิล-ปรัชญา อรเอก แสดงความคิดเห็นในฐานะหนึ่งในเจ้าของร้านกัญชา Sensi และ Nana Weed Station ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทบาทปัจจุบันของเขานอกเหนือไปจากการเป็นผู้ประกาศข่าวที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
กรุงเทพฯ อาจเคยได้รับฉายาว่าเป็น ‘เวนิสแห่งตะวันออก’ อันเนื่องมาจากการมีคลองเป็นจำนวนมากและเชื่อมต่อถึงกันอย่างทั่วถึง แต่โดยทั่วไปการเติบโตของกรุงเทพฯ คล้ายกับเมืองใหญ่แถวภูมิภาคนี้มากกว่าเมืองใดๆ ของยุโรป กระนั้น เมื่อร้านขายกัญชาผุดขึ้นมากมายมหาศาล ทำให้ผู้ค้าและนักลงทุนต่างก็กระโดดเข้ามาในสังเวียนธุรกิจนี้ ศักยภาพของกรุงเทพฯ ในแง่ของการเป็นธุรกิจท่องเที่ยวสายกัญชาก็เริ่มมีความเป็นไปได้ชัดเจนขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่ากรุงเทพฯ วันนี้คล้ายกับจะเป็น ’อัมสเตอร์ดัมแห่งเอเชีย’ เหตุเพราะโด่งดังจากคูคลองและการเปิดรับกัญชาเช่นเดียวกัน
นักท่องเที่ยวที่เดินเล่นในเมืองหลวงของไทยและเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เกาะสมุย และเกาะพะงัน สามารถเลือกซื้อกัญชาจากแผงและร้านจำนวนมากที่ขายดอกกัญชาฤทธิ์แรงทั้งที่นำเข้าจากอเมริกาเหนือและที่ปลูกในเมืองไทย
“ธุรกิจนี้กำลังไปได้สวยและสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จากทั่วทุกมุมโลก” ปรัชญากล่าว
นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและน่าจับตามองสำหรับประเทศที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น คนที่มีกัญชาในครอบครองยังถูกจับและมีสิทธิ์ต้องโทษปรับและจำคุกหลายปี
ประสบการณ์ของ เบียร์-สรณัฐ มัสยวาณิช คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงทัศนคติต่อกัญชาในไทยที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในช่วงต้นยุค 2000 เบียร์เป็นดาราวัยรุ่นหน้าใหม่มาแรง แต่การเป็นข่าวเรื่องมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยยังไม่บรรลุนิติภาวะทำให้เขาต้องหมดอนาคตในวงการบันเทิงและถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กเกเรของวงการ จนไม่มีใครอยากจ้างงาน
นับแต่นั้นเบียร์เปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตจากงานในวงการบันเทิงมาเป็นการทุ่มเทสนับสนุนเรื่องกัญชา และหลังจากถูกมองว่าเป็น ‘คนนอกคอก’ ในสายตาของผู้ใหญ่สายอนุรักษ์นิยมมาตลอดสองทศวรรษ ทุกวันนี้เบียร์ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าของกลุ่มนักลงทุนในธุรกิจกัญชาและเป็นเจ้าของกิจการร้าน Sukhumweed
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่น่าตื่นเต้นคือมูลค่าทางเม็ดเงินที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนี้ ตลาดการใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ในเอเชียจะมีมูลค่าประมาณ 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2567 ตามข้อมูลจากบริษัทวิจัยด้านกัญชา Prohibitions Partners
“ระหว่างทางของการทำให้กัญชาเป็นเรื่องถูกกฎหมายเปลี่ยนแปลงความคิดที่คนจำนวนมากมีต่อกัญชา โดยทั่วไปเราจะมองในแง่ลบเกี่ยวกับสารเสพติดทุกประเภท เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลาสักพักในการถอนทัศนคติเดิมๆ ที่ถูกปลูกฝังกันมานาน แต่คนส่วนหนึ่งก็เริ่มมองเห็นศักยภาพของกัญชาในเชิงธุรกิจและตระหนักได้ว่าไม่ใช่ปีศาจที่เป็นภัยต่อสังคมอย่างเดียว” ปรัชญาแสดงความคิดเห็น
นอกจากนี้ปรัชญายังกล่าวเสริมต่ออีกว่า “ผมคิดว่าเหตุการณ์หลังปลดล็อกกัญชาให้ถูกกฎหมายแล้วเป็นไปอย่างสันติมากกว่าที่ฝ่ายสนับสนุนหลายคนคาดคิดไว้ด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอุบัติเหตุใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นจากคนที่ขับรถขณะเมากัญชา หรือยังไม่มีข่าวประหลาดๆ ที่รายงานว่าคนทำอะไรแผลงๆ ระหว่างที่กัญชาออกฤทธิ์”
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ และการประกาศให้กัญชาถูกกฎหมายนี้ก็จัดอยู่ในการเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีปัญหาเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่มีการปลดล็อกกัญชาในประเทศนี้ กฎหมายควบคุมการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการยังไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา ทำให้ประเด็นนี้ยังคงคลุมเครือในปัจจุบัน ดังนั้นหากตีความตามตัวบทกฎหมายโดยตรงแล้ว ผู้สูบกัญชาในที่สาธารณะมีสิทธิ์ที่จะโดนดำเนินคดีภายใต้อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หลายคนตื่นตระหนกกับคำว่า ‘กัญชาเสรี’ แพทย์จำนวนกว่า 1,000 รายร่วมลงชื่อเรียกร้องให้รัฐบาลระงับนโยบายกัญชาเสรีจนกว่ารัฐสภาจะออกกฎหมายควบคุมอย่างครอบคลุม ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมกัญชายังคงเชื่อมโยงกับความขบถและการต่อต้านผู้มีอำนาจ ไม่ต่างจากนักดนตรีและแรปเปอร์ ทำให้วัฒนธรรมนี้ยังเป็นสิ่งที่ถูกมองในแง่ลบอยู่ไม่น้อย
กระนั้น การประกาศให้กัญชาถูกกฎหมายนั้นก็ถูกมองว่าเป็นชัยชนะทางการเมืองของฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะสำหรับ อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างแน่วแน่ และได้ใช้ประเด็นนี้เป็นนโยบายหาเสียงมาอย่างต่อเนื่อง ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวว่า กฎหมายนี้จะเป็น “การได้ประโยชน์ร่วมกันของคนไทย เพราะคนไทยจะได้ปลูกพืชชนิดนี้ และพืชชนิดนี้ก็จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ”
อย่างไรก็ดี ในขณะที่ไม่แน่ชัดนักว่าผู้เล่นในสังเวียนธุรกิจกัญชาของไทยให้ความสนใจต่อประโยชน์ทางการแพทย์ของกัญชาที่เป็นวัตถุประสงค์ของกฎหมายใหม่มากน้อยแค่ไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับพวกเขาคือมูลค่าทางเม็ดเงินที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนี้
“กัญชาเป็นอนาคตพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าว ในอดีตเขาเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หากพิจารณาตามตัวเลขแล้ว เป็นไปได้ยากที่จะไม่รู้สึกตื่นตากับมูลค่าทางเม็ดเงินที่น่าจะเกิดขึ้น บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ Grand View Research คาดการณ์ว่า ตลาดโลกจะเติบโตขึ้นสูงถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.7 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568 ในขณะเดียวกัน ตลาดการใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ในเอเชียจะมีมูลค่าประมาณ 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2567 ตามข้อมูลจากบริษัทวิจัยด้านกัญชา Prohibitions Partners
สถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยต้องประสบภาวะชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่คนในแวดวงการบริการเชื่อว่ามาตรการของรัฐบาลที่ผ่อนปรนมากขึ้นจะนำไปสู่การเพิ่มปริมาณของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มีเป้าหมายในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพซึ่งกัญชาจะเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คนจำนวนไม่น้อยมองว่าการพาตัวเองไปอยู่แถวหน้าในยุคที่กัญชากำลังเบ่งบานของไทยเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ชาญฉลาด หรือแม้กระทั่งทางวัฒนธรรม คนบางกลุ่มอาจไม่เห็นด้วยกับคนสูบกัญชาโดยทั่วไป แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ถึงประโยชน์บางประการที่ผู้ใช้กัญชาบางส่วนได้รับ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา พืชชนิดนี้ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำมันมวยสำหรับนักมวยไทย และเป็นส่วนผสมในเมนูอาหารหลากหลายชนิด นอกจากนี้กัญชาสายพันธุ์ไทย โดยเฉพาะสายพันธุ์หางกระรอกหรือ Thai Stick ก็เป็นที่โด่งดังในระดับโลก แม้แต่คำว่า ‘bong’ ในภาษาอังกฤษก็มาจากคำไทยตรงๆ ว่า ‘บ้อง’ นั่นเอง
“ไม่มีชาติไหนในเอเชียที่รู้จักกัญชาดีเท่าคนไทยอีกแล้ว” กฤษณ์ ธีรเกาศัลย์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Golden Triangle Group ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายในการปลูกกัญชงคุณภาพสูงเพื่อใช้ในทางการแพทย์ ผลิตเครื่องสำอาง และใช้เป็นส่วนผสมของอาหารและเครื่องดื่ม บริษัทของเขากำลังอยู่ในระหว่างตกลงทางธุรกิจกับบริษัทระดับโลกมากมาย ซึ่งรวมถึงบริษัทผลิตเครื่องดื่มชั้นนำอย่าง Red Bull และ Tipco
“ประเทศไทยมีองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มานานนับศตวรรษ และด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยของภาคเหนือ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 26 องศาเซลเซียส จึงเป็นสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับการปลูกกัญชากลางแจ้ง อีกทั้งยังดีต่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เรายังมีจุดแข็งในเรื่องแรงงานภาคเกษตรกรรมที่มีทักษะสูง รวมไปถึงข้อได้เปรียบในด้านซัพพลายเชนที่ดีมากอีกด้วย เรียกได้ว่าเรามีศักยภาพมากทีเดียว” กฤษณ์กล่าวเสริม
สำหรับผู้ปลูกกัญชา โดยเฉพาะรายที่มีเงินทุนสูงและใช้เทคนิคการผลิตที่ก้าวหน้าอย่างระบบไฮโดรโปนิก ยิ่งได้ผลตอบแทนที่งดงามจากการปลูกพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทยชนิดนี้ แต่ดูเหมือนว่าสำหรับเกษตรกรที่อยู่ในระดับฐานของห่วงโซ่การผลิตนั้น หนทางจะไม่ได้สดใสอย่างที่คาดหวัง ในสัปดาห์ที่มีการปลดล็อกกัญชา รัฐบาลไทยได้แจกต้นกล้ากัญชา 1 ล้านต้นให้กับเกษตรกร แต่สื่อรายงานว่า เกษตรกรส่วนหนึ่งที่ได้รับแจกต้นกล้าไปนั้นประสบปัญหาในการปลูกพืชชนิดนี้ให้งอกงาม เนื่องจากสภาพดินในพื้นที่ของพวกเขาไม่เหมาะกับการปลูกพืชชนิดนี้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสนับสนุนกัญชายังคงชี้ให้เห็นถึงข้อดีในวงกว้างสำหรับประเทศไทย สถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมาทำให้ไทยต้องประสบภาวะชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่คนในแวดวงการบริการเชื่อว่ามาตรการของรัฐบาลที่ผ่อนปรนมากขึ้นจะนำไปสู่การเพิ่มปริมาณของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มีเป้าหมายในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งกัญชาจะเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้
“ไทยเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้วในเรื่องของการเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ เพราะฉะนั้นอุตสาหกรรมนี้จะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาที่เกิดขึ้นล่าสุดอย่างแน่นอน” เดิร์ค เด กายเปอร์ ซีอีโอของบริษัทอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการบริการ S Hotels and Resorts กล่าว
ฝ่ายสนับสนุนกัญชายังแสดงความคิดเห็นเสริมอีกว่า พืชชนิดนี้ช่วยบรรเทาความเครียด ลดความอ่อนล้า เพิ่มความอยากอาหาร และช่วยให้หลับลึกยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และช่วยบรรเทาอาการอักเสบของผิวหนัง เมื่อคำนึงถึงคุณประโยชน์เหล่านี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่แบรนด์ด้านการบริการและสุขภาพจำนวนมากจะเกาะติดเทรนด์กัญชาในไทย
สปาชั้นหรูอย่าง Panpuri Wellness ได้นำเสนอแพ็กเกจ Holistic Cannabis Wellness Experience ที่รวมเอาทั้งบริการออนเซ็น สปาที่ใช้ใบกัญชา อาหารและเครื่องดื่มที่ผสมกัญชาเข้าด้วยกัน Anantara เป็นอีกโรงแรมชื่อดังที่ตอบรับการท่องเที่ยวที่มีกัญชาเข้ามาสร้างสีสันด้วย โดยสปาของทางโรงแรมได้นำเสนอสาม ‘การเดินทาง’ ที่ใช้ประโยชน์จากน้ำมัน CBD (cannabidiol) สารสกัดประเภทที่ 2 จากกัญชา
แน่นอนว่านักท่องเที่ยวจำนวนมากมุ่งหน้ามายังประเทศไทย โดยมีความต้องการในการเสพกัญชาชั้นดีและมีคุณภาพเป็นแรงขับเคลื่อน
“มีคนจำนวนมากที่ตั้งใจมาเพื่อที่จะเมากัญชา และจำนวนไม่น้อยเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและเดินทางมาจากประเทศที่มีกฎระเบียบเข้มงวดมากๆ ในเรื่องกัญชาและไม่มีทางที่พืชชนิดนี้จะเป็นเรื่องถูกกฎหมายในประเทศได้ เพราะฉะนั้นนโยบายปลดล็อกกัญชาของประเทศไทยจึงส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก” เจค คอยเนอร์ หนึ่งในผู้สนับสนุนกัญชา กล่าว เขาเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องดื่ม OG Kratom ที่ใช้สารพื้นบ้านที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอย่างกระท่อมเป็นส่วนผสม โดยกระท่อมได้รับการรับรองให้ถูกกฎหมายในปี 2564
ตัวเลขจากประเทศอื่นๆ ที่เป็นศูนย์กลางของกัญชาช่วยเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจไทยผ่านการท่องเที่ยวสายกัญชา ปีที่ผ่านมา Forbes รายงานว่า ธุรกิจการค้ากัญชาถูกกฎหมายทำเงินสูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 โดยคาดว่าตัวเลขมากถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐมาจากนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายเงินอีก 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายกัญชาและจ่ายภาษีที่เกี่ยวข้อง
การเข้าสู่ตลาดของไทยในฐานะ ‘เจ้าแรกๆ’ ที่เป็นศูนย์กลางของกัญชาถูกกฎหมาย พ่วงด้วยชื่อเสียงที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว อย่างอาหารอร่อย ผู้คนเป็นมิตร และทัศนียภาพที่งดงาม ทำให้ไทยโดดเด่นในการดึงดูดนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังทำให้ประเทศก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเอเชียในการเป็นผู้เล่นหลักสำคัญของอุตสาหกรรมกัญชาระดับโลก
“ผู้นำประเทศของเราคาดการณ์ได้ถึงประโยชน์ต่างๆ ที่การผ่อนปรนกฎหมายควบคุมกัญชาจะนำมาสู่ประเทศ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและในด้านการพัฒนาสังคมและสุขภาพ” เพชร-ธนิสร บุญสูง ซีอีโอของ Eastern Spectrum บริษัทที่ทั้งปลูกและแปรรูปกัญชาอย่างครบวงจร ให้ความเห็น โดย Eastern Spectrum มีผลิตภัณฑ์หลักเป็น CBD ที่สกัดจากกัญชง
หนึ่งในผู้สนับสนุนและรณรงค์เรื่องกัญชาที่มีบทบาทโดดเด่นของไทยอย่าง คิตตี้ ช่อผกา เป็นอีกคนที่กระตือรือร้นที่จะเห็นวันที่อุตสาหกรรมกัญชาของไทยเติบโตอย่างเต็มที่ ‘ช่อผกา’ ร้านเล็กๆ ของเธอที่ตั้งชื่อตามตัวเอง เริ่มธุรกิจอย่างรวดเร็วในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ถึงอย่างนั้นกฎหมายที่ยังคลุมเครือว่าสามารถใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงและสันทนาการได้หรือไม่สร้างความกังวลใจให้กับเธอเป็นอย่างมากและยากในการวางแผนธุรกิจในระยะยาว กระนั้นเธอเชื่อว่าถ้าเปรียบกัญชาเป็นยักษ์จีนี่ที่อยู่ในตะเกียงแล้ว ยักษ์ตัวนี้ได้รับการปลดปล่อยแล้วอย่างแท้จริงด้วยเหตุผลที่เหมาะสม
“ตอนนี้ไม่มีคำว่าถอยหลังอีกต่อไป และตัวเราเองก็ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อยืนยันว่าจะไม่มีการถอยหลังในเรื่องนี้ กัญชาเป็นสิ่งที่ควรทำให้ถูกกฎหมายทั่วโลก เพราะการทำให้ถูกกฎหมายจะเป็นวิธีที่ดีกว่าในการบริหารจัดการ ดีกว่าปล่อยให้อยู่ในมือของอาชญากร อีกทั้งยังมีศักยภาพที่จะต่อยอดในอีกหลายอุตสาหกรรม แล้วมันคงไม่ถึงกับเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ถ้าคนจะเมากัญชากันบ้าง” คิตตี้กล่าวหยอก
แม้กฎหมายเกี่ยวกับกัญชาจะยังไม่ชัดเจนในรายละเอียดและยังต้องปรับปรุงพัฒนากันต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตของธุรกิจนี้ในประเทศไทย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสำหรับคนที่สนับสนุนธุรกิจนี้ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงความฝันจากการ ‘พี้’ อีกต่อไป ■