HOME ISSUE

SECTION

ABOUT

BEYOND BOUNDARIES


A Polished Edge

ในกรุงเบอร์ลิน วัฒนธรรมของทุกชนชั้นสามารถสอดประสานกันได้อย่างน่าประหลาดจนก่อเกิดเป็นอัตลักษณ์เฉพาะ

การไปเยือนกรุงเบอร์ลินในประเทศเยอรมนีนั้นถือเป็นประสบการณ์ที่มีรสชาติพิเศษ เพราะขณะเตร็ดเตร่อยู่ตามท้องถนน ผู้มาเยือนอาจได้กระทบไหล่กับเหล่าศิลปินนอกกระแส ผู้อยู่เบื้องหลังงานศิลปะกราฟฟิตี้ในทุกหัวมุมเมืองเข้าโดยไม่รู้ตัว และในขณะที่ย่านธุรกิจของเมืองใหญ่อื่นๆ มักมีแต่นักธุรกิจในชุดสูทถือกระเป๋าเอกสารเดินกันขวักไขว่ ‘เบอร์ลินเนอร์’ กลับนิยมแต่งกายในเสื้อผ้าสีเข้ม สวมเครื่องประดับดีไซน์แปลกตา และบางรายก็มีไฮไลท์แซมบนปอยผมเลยทีเดียว หากมีโอกาสได้พูดคุยกับชาวเบอร์ลิน ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจมาดเนี้ยบหรือชาวเมืองนอกกระแส คนเหล่านี้จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เบอร์ลินไม่ใช่เยอรมนี”

ขณะที่เมืองใหญ่อื่นๆ ในเยอรมนีอย่างมิวนิคและแฟรงก์เฟิร์ต เป็นระเบียบสะอาดตา จะเห็นได้ว่ากรุงเบอร์ลินแฝงไว้ด้วยความดิบและยุ่งเหยิง สังเกตได้จากศิลปะกราฟฟิตี้บนกำแพงเบอร์ลินที่อวลกลิ่นอายของความขัดแย้งและสงคราม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน กรุงเบอร์ลินได้กลายเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่สุดแห่งหนึ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ประกอบด้วยทั้งศิลปินผู้รักอิสระ ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ไปจนถึงนักกิจกรรมทางการเมือง เสน่ห์ของกรุงเบอร์ลินอยู่ที่ความเป็นธรรมชาติ การคิดนอกกรอบ และความโกลาหล จนกระทั่งพูดได้ว่า ไม่มีเมืองใดในเยอรมนีจะมีความไม่เป็นเยอรมันเท่ากรุงเบอร์ลินอีกแล้ว

ยิ่งกว่านั้น ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมืองย้อนแย้งแห่งนี้ก็กำลังค่อยๆ เติบโตขึ้น ผู้มาเยือนจะพบว่าอาคารหน้าตาเก่าทรุดโทรม ได้กลายไปเป็นความเท่อีกอย่างของเบอร์ลิน ช่วงสิบปีที่แล้ว เคลาส์ โวเวอไรท์ อดีตนายกเทศมนตรีกรุงเบอร์ลิน ผู้เปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์ เคยกล่าวไว้ว่า “ถึงเบอร์ลินจะจนแต่ก็มีเสน่ห์” แต่ดูเหมือนคำกล่าวของเขาก็ไม่เป็นจริงอีกต่อไป เพราะปัจจุบัน เมืองหลวงแห่งนี้กำลังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมชั้นยอด

ในอดีต เขตนอยเคิลน์ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเบอร์ลินนั้น ไม่เหมาะสำหรับการเดินเตร็ดเตร่ตามลำพังในยามค่ำคืน แต่ปัจจุบันนี้ ย่านอยู่อาศัยดังกล่าวคึกคักไปด้วยสถานที่กินดื่มและร้านรวงต่างๆ ซึ่งเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนจนดึกดื่น เหล่านักดื่มซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่มักพูดคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ แต่เราก็อาจได้ยินบทสนทนาภาษาเยอรมัน สเปน ฝรั่งเศส หรือกระทั่งกรีกแทรกขึ้นมาเป็นครั้งคราว นอยเคิลน์นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะที่ตั้งของคาเฟ่ย้อนยุค ร้านขายของเก่า และบาร์สไตล์ ‘ห้องนั่งเล่น’ ซึ่งตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์วินเทจ และอาศัยเพียงแสงสลัวจากเทียนที่จุดในขวดแก้วรีไซเคิล

นับตั้งแต่เหล่านักศึกษา นักคิดหัวสร้างสรรค์ และคนวัยทำงานรุ่นใหม่จากทั่วโลกย้ายเข้ามาลงหลักปักฐานที่นอยเคิลน์ ที่นี่ก็กลายเป็นย่านที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของเบอร์ลิน และเมื่อบรรดาคนรุ่นใหม่เหล่านี้เข้าไปปะปนกับชุมชนผู้อพยพซึ่งตั้งรกรากอยู่ก่อนอย่างชาวเติร์ก อาหรับ และเคิร์ด นอยเคิลน์ก็กลายเป็นอีกย่านที่เปี่ยมด้วยสีสันทางวัฒนธรรม ดังสโลแกนของชาวเบอร์ลินที่ว่า ‘multikulti’

ยิ่งกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นอยเคิลน์ก็กลายเป็นแหล่งรวมของวัฒนธรรมชั้นสูงต่างๆ อีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ CODA ร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกอพาร์ทเมนต์อันเต็มไปด้วยศิลปะกราฟฟิตี้ บาร์ขนมหวานแห่งแรกของเบอร์ลินนี้กำลังได้รับความสนใจท่วมท้น เบื้องหลังกำแพงสีทะมึนเป็นที่ตั้งของเคาน์เตอร์ไม้ขนาดยาวซึ่งตอบรับกับการตกแต่งในสไตล์เรียบหรูของทางร้าน คนหนุ่มสาวหลากเชื้อชาติกำลังดื่มด่ำกับเมนูของหวาน 6 คอร์ส ซึ่งแต่ละจานนั้นจับคู่กับค็อกเทลสูตรพิเศษ “ตอนนั้นเราพยายามมองหาย่านที่กำลังพัฒนา จะได้มีสีสันและรายล้อมไปด้วยคนหลากหลายแบบ” โอลิเวอร์ บิสช็อฟกล่าว เขาคือนักออกแบบร้านอาหารชื่อดังและหุ้นส่วนของโคดา

ครัวเปิดของโคดานั้นเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ของหวานสไตล์โมเดิร์นของเชฟเรเน แฟรงก์ บรรดาจานขนมหวานหน้าตาสวยถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส จนผู้มาเยือนอาจต้องแปลกใจเมื่อรู้ว่าวัตถุดิบทั้งหมดนั้นทำขึ้นเองภายในร้าน และไม่ใช้น้ำตาลที่ผลิตในโรงงานหรือวัตถุดิบที่ผ่านการปรุงแต่งแม้แต่น้อย ซึ่งการรังสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ครบทุกสัมผัสนั้นเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยทั้งแรงกายและเวลา

เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านจะถูกเสิร์ฟมาในโดมช็อกโกแลต ซึ่งกักเก็บควันถ่านไม้ที่ลอยฟุ้งยามเปิดออก มูสเมล็ดโกโก้แทนซาเนียเสิร์ฟคู่กับไอศกรีมรสถั่วตองกา ลูกพลัมอบแห้ง ซอสชิโครีและผงถ่าน นั้นจับคู่มากับไวน์ลัมบรุสโก้และขวดสเปรย์วิสกี้แบบซิงเกิ้ลมอลต์ ขณะที่ไอศกรีมรากพาสลีย์และเนื้อมะพร้าวราดซอสกระเทียมดำรสหวานนั้นเข้ากันดีกับเบียร์สเตาต์ผสมข้าวโอ๊ต และยังให้รสสัมผัสโปร่งเบาจนผู้ที่ลิ้มลองไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้สั่งจานที่สอง

กรุงเบอร์ลินรั้งตำแหน่งนครแห่งสตรีทอาร์ทของโลกมาอย่างยาวนาน รวมทั้งเป็นที่ตั้งของ East Side Gallery พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะกลางแจ้งที่ยาวที่สุดในโลก

“ผมเชื่อมาตลอดว่าขนมนั้นเป็นมากกว่าเมนูหวานเจื้อย และพวกเราได้สร้างความโดดเด่นให้เมนูเหล่านี้ในแบบที่มันควรจะเป็น” เรเนกล่าว เขาเคยทำงานกับร้านอาหารชื่อดังทั้งใน สวิตเซอร์แลนด์ สเปน และฝรั่งเศส ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าเพสทรีย์เชฟของ La Vie ร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินในเมืองออสนาบรึค ประเทศเยอรมนี ก่อนจะผันตัวมาทำร้าน โคดาร่วมกับโอลิเวอร์ในปี 2016

ทางร้านได้รังสรรค์เมนูของหวานที่คนส่วนมากไม่เคยลิ้มลองมาก่อน แต่ละจานนั้นให้สมดุลของความหวานธรรมชาติ ความเค็ม เปรี้ยว และรสชาติกลมกล่อมยามจับคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รสเข้ม “แขกควรจะรู้สึกตื่นตัวและมีส่วนร่วมไปกับประสบการณ์ดังกล่าว ไม่ใช่เมาแอ๋ มันเหมือนเป็นการอุ่นเครื่องก่อนไปเที่ยวต่อมากกว่า” เรเนกล่าวเสริม

กรุงเบอร์ลินนั้นเป็นที่ตั้งของไนท์คลับหลายแห่งซึ่งเปิดต้อนรับนักสังสรรค์ตลอดคืน (หรือกระทั่งตลอดวัน) เมืองแห่งนี้เป็นที่รู้จักในฐานะมหานครแห่งเพลงเทคโน ซึ่งมีดีเจระดับโลกหมุนเวียนมาเปิดการแสดงทุกช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งหลายครั้งงานสังสรรค์ก็ลากยาวไปจนถึงรุ่งเช้าวันจันทร์

หนึ่งในไนท์คลับระดับตำนานคือ Berghain ไนท์คลับสายเทคโนที่หลายคนยกย่องว่าดีที่สุดในโลก สึเว็น มาร์ควอท เบาน์เซอร์ประจำร้านและช่างภาพในวัย 56 ปี ผู้เจาะปากและมีรอยสักขนาดใหญ่บนหน้านั้น พิถีพิถันในการเลือกแขกเป็นอย่างยิ่ง ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวจำนวนมากยอมเข้าแถวเป็นเวลาหลายชั่วโมงและเฝ้ารอโอกาสที่จะได้เยื้องย่างเข้าไปยังไนท์คลับแห่งนี้ ซึ่งหลายครั้งก็ลงเอยด้วยการรอเก้อ เบิร์กไฮน์เป็นเสมือนขุมทรัพย์ชั้นดีของกรุงเบอร์ลิน โดยในปี 2016 ศาลเยอรมนีมีคำตัดสินให้ไนท์คลับแห่งนี้มีสถานะเทียบเท่ากับสถานที่จัดแสดงศิลปะชั้นสูงอื่นๆ อาทิ โรงละคร โรงคอนเสิร์ต และพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งได้รับสิทธิ์การลดหย่อนภาษีด้วย

ไนท์คลับยอดนิยมอีกแห่งอย่าง Salon Zur Wilden Renate นั้นได้ยกระดับนิยามของคำว่า ‘เฮาส์ปาร์ตี้’ ขึ้นมาอีกขั้น ภายในอพาร์ทเมนต์เก่าแห่งนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยแดนซ์ฟลอร์ตามห้องหับและซอกหลืบต่างๆ ที่ซับซ้อนราวเขาวงกตยังมีพื้นที่ให้ผู้มาเยือนนั่งทอดอารมณ์สบายๆ ท่ามกลางเครื่องตกแต่ง อาทิ โซฟาเก่า เสาเตียง และโทรทัศน์ที่เสียแล้ว ขณะที่พื้นไม้เก่าๆ และแสงไฟสลัวนั้นยังช่วยสร้างบรรยากาศให้กับสวนด้านนอกเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่เบิร์กไฮน์ ผู้มาเยือนนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูป โดยเหล่าพนักงานได้เพิ่มมาตรการป้องกันด้วยการแปะสติกเกอร์วงกลมเล็กๆ บนเลนส์กล้องโทรศัพท์ก่อนจะปล่อยให้แขกแต่ละคนเข้าไปยังด้านใน

ขณะที่ Zur Die Klappe ไนท์คลับแห่งล่าสุดของกรุงเบอร์ลิน นั้นเพิ่งเปิดทำการตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สถานบันเทิงแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางถนนใหญ่ถัดจากบันไดคอนกรีตลงไปไม่กี่ก้าว เบื้องหลังทางเข้าอันลึกลับเคยเป็นที่ตั้งของห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งเป็นสถานที่นัดพบของเหล่าชายรักชายในสมัยที่เยอรมนียังกำหนดให้การรักร่วมเพศเป็นความผิดทางอาชญากรรม บาร์สไตล์ดิบๆ แห่งนี้ขับกล่อมผู้มาเยือนด้วยดนตรีเทคโนยุคแรกๆ และเบียร์ราคาถูก

อย่างไรก็ดี กรุงเบอร์ลินนั้นยังสามารถรักษาสมดุลระหว่างวัฒนธรรมนอกกระแสเหล่านี้กับศิลปะชั้นสูงได้เป็นอย่างดี โดยสมดุลดังกล่าวปรากฏชัดในย่านครอยซ์แบร์ก ซึ่งตั้งอยู่ในเขต นอยเคิล์น ที่โรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งแรกได้เปิดทำการในย่านไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

อาคารหลังเก่าแก่ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1913 และเพิ่งได้รับการบูรณะไปเมื่อไม่นานนี้ เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูอย่าง Orania.Berlin ภายในล็อบบี้และห้องอาหารของโรงแรมได้รับการตกแต่งด้วยโทนสีแดงไวน์และทอง แกรนด์เปียโน Steinway & Sons ตั้งตระหง่านอยู่บนเวทีขนาดเล็กซึ่งมักมีศิลปินมาเปิดการแสดงสดๆ ขับกล่อมแขกผู้มาเยือน ชวนให้นึกถึงอดีตของโรงแรมแห่งนี้ในฐานะโรงคาบาเรต์สำคัญซึ่งอบอวลไปด้วยควันบุหรี่ของเหล่าหญิงสาวในช่วงยุค ’20s

“เบอร์ลินเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรม ไม่มีเมืองไหนจะเต็มไปด้วยเสียงดนตรีและมีจำนวนศิลปินมากเท่านี้ ตอนนั้นผมคิดว่า ผมอยากเจอกับศิลปินเหล่านี้ถ้ามีโอกาสได้มาเยือนเบอร์ลิน แต่เมื่อก่อนยังไม่มีสถานที่ที่ทำแบบนั้นได้สักเท่าไร เราจึงอยากให้โอเรเนียเป็นเสมือนสถาบันทางวัฒนธรรมดังกล่าว” ดิทมาร์ มูลเลอร์ เอเมาท์ ผู้ออกแบบโรงแรมแห่งนี้กล่าว

ดิทมาร์เป็นเจ้าของโรงแรมหรูชื่อเดียวกับเขาอย่าง Schloss Elmau ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ในบาวาเรีย และเป็นที่ๆ อังเกลา แมร์เคิลและบารัก โอบามาเคยมาเยือนในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำจี 7 โรงแรมโอเรเนียได้รับแรงบันดาลใจส่วนใหญ่มาจากสถาปัตยกรรมของโรงแรมชลอส เอเมา ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ลวดลายช้างและพรมจากอิหร่าน แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเป็นสมัยนิยมเข้าไปด้วย ตั้งแต่เสื้อคลุมอาบน้ำสีเขียวมะนาวและสีฟ้า ไปจนถึงเครื่องใช้ในห้องน้ำที่ผลิตในเบอร์ลิน โดยราคาที่พักนั้นเริ่มต้นที่ราว 183 ยูโร (ประมาณ 7,000 บาท) ต่อคืน “เราไม่ได้ขายความพิเศษ แต่เราขายความหรูหราที่จับต้องได้” ดิทมาร์กล่าว

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการเปิดตัวของโรงแรมโอเรเนีย เบอร์ลินก็มีหมุดหมายทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งใหม่เกิดขึ้น กล่าวคือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ Urban Nation Museum for Urban Contemporary Art หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า Urban Nation ซึ่งได้รวบรวมผลงานจากทั้งบรรดาศิลปินท้องถิ่นและต่างชาติไว้กว่า 150 ชิ้น รวมถึงผลงานของเชปเพิร์ด แฟร์รีย์ ศิลปินผู้นำใบหน้าของบารัก โอบามา มาสร้างสรรค์เป็นโปสเตอร์ Hope อันโด่งดัง ไปจนถึงศิลปินกราฟฟิตี้ชาวอังกฤษอย่างแบงก์ซี่ ศิลปินชาวฝรั่งเศส เบลค เลอ รัต และโรเบิร์ต เดล นาจา นักร้องนำวง Massive Attack หรือที่รู้จักในชื่อของ 3D

กรุงเบอร์ลินรั้งตำแหน่งนครแห่งสตรีทอาร์ทของโลกมาอย่างยาวนาน รวมทั้งเป็นที่ตั้งของ East Side Gallery พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะกลางแจ้งที่ยาวที่สุดในโลก โดยจัดแสดงผลงานกราฟฟิตี้บนซากกำแพงเบอร์ลินและตามผนังรอบเมือง

นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์เออร์บัน เนชันยังได้ยกสถานะของกรุงเบอร์ลินในฐานะนครแห่งสตรีทอาร์ตไปอีกขั้น ผนังทั้ง 5 ชั้นของอาคารซึ่งเคยเป็นอพาร์ทเมนต์เก่านั้น ได้ถูกเปลี่ยนโฉมเป็นพื้นที่จัดแสดงภาพวาดขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับพื้นที่ภายในอาคาร และได้ฉีกกฎเกณฑ์แกลเลอรีแบบเดิมๆ ไปหมดสิ้น ห้องสมุดภายในแกลเลอรีซึ่งมีหนังสือและนิตยสารทำมือหายากที่คัดเลือกโดย มาร์ธา คูเปอร์ ช่างภาพสตรีทชาวอเมริกันชื่อดังนั้น ทำหน้าที่เป็นคลังข้อมูลที่บันทึกเรื่องราวและความเคลื่อนไหวกว่า 4 ทศวรรษของแวดวงศิลปะในกรุงเบอร์ลินไว้ โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี และดำเนินงานในลักษณะองค์กรไม่แสวงหากำไร

“ประวัติศาสตร์ของสตรีทอาร์ตนั้นสำคัญไม่แพ้ประวัติศาสตร์การเมือง ผมมองว่างานศิลปะเหล่านี้ควรได้รับการอนุรักษ์ไว้ ไม่ใช่แค่เก็บเป็นความทรงจำในภาพถ่าย” คริสเตียน โรเท็นฮาเกน กล่าว เขาคือศิลปินผู้เกิดและเติบโตในเบอร์ลิน ผลงานส่วนใหญ่ของเขาเป็นภาพวาดสถาปัตยกรรมเมือง และผลงานของเขานั้นเคยจัดแสดงในนิทรรศการของเออร์บัน เนชันถึงสามครั้ง

ในอนาคตอันใกล้ เบอร์ลินจะมีพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยอีกแห่งเปิดตัวขึ้นในชื่อ Institute for Sound & Music ซึ่งจะศึกษาเสียง ศิลปะเสมือนจริง และวัฒนธรรมเพลงอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเมืองเบอร์ลินมีส่วนร่วมครั้งใหญ่ในการพัฒนา และแม้ว่าตัวพิพิธภัณฑ์จะไม่มีกำหนดการเปิดจนกระทั่งปี 2021 องค์กรไม่แสวงหากำไรแห่งนี้ก็ได้เริ่มจัดแสดงนิทรรศการศิลปะเสียงและทัศนศิลป์จากศิลปินทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

ISM Hexadome หรือนิทรรศการจัดแสดงศิลปะภาพและเสียงแบบ 360 องศา ถือเป็นนิทรรศการแรกที่สถาบันแห่งนี้จัดขึ้น โดยผสมผสานการฉายภาพจากโปรเจกเตอร์และเทคโนโลยีเครื่องเสียงระดับคุณภาพ นิทรรศการดังกล่าวเปิดตัวครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์ Martin-Gropius-Bau ในกรุงเบอร์ลิน และได้นำผลงานจากโปรดิวเซอร์เพลงชาวอังกฤษชื่อดังอย่าง ไบรอัน อีโน และทอม ยอร์ก นักร้องนำวง Radiohead มาจัดแสดง ซึ่งทางสถาบันมีแผนจะนำนิทรรศการดังกล่าวไปจัดแสดงทั่วทั้งทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ ขณะที่กลุ่มผู้จัดงานก็กำลังเริ่มเตรียมแผนเปิดตัวนิทรรศการใหญ่ครั้งถัดไปที่กรุงเบอร์ลินเป็นที่เรียบร้อย

เบอร์ลินได้แสดงให้เห็นว่าความหรูหราเป็นเรื่องของทัศนคติมากกว่าเรื่องเงิน ดังที่เฮนริค ทิเดเฟีย ชายชาวสวีเดนผู้อาศัยอยู่ในกรุงเบอร์ลินมาเป็นเวลานานได้กล่าวไว้ เขาเป็นเจ้าของบริษัทผู้ให้คำแนะนำด้านไลฟ์สไตล์ในชื่อ Berlinagenten ซึ่งคอยแนะนำลูกค้าผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นคนดังในแวดวงต่างๆ เกี่ยวกับร้านอาหารเก๋ๆ สตูดิโอศิลปะ หรือกระทั่งอพาร์ทเมนต์ที่ออกแบบโดยเหล่าดีไซน์เนอร์ กลุ่มลูกค้าของเขาไม่ได้มีเพียงบรรดาผู้บริหารในแถบยุโรปและญี่ปุ่น แต่ยังรวมถึง นักร้องชื่อดังอย่างอเดล และลูอีส ลีออน ลูกสาวของมาดอนน่าด้วย

“เวลาเราพูดเกี่ยวกับแรงบันดาลใจของแวดวงครีเอทีฟในเบอร์ลินนั้น ผมว่ามันไร้ข้อจำกัด เต็มไปด้วยแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ และโอกาสให้เรากล้าคิดนอกกรอบ ซึ่งเราสามารถซึมซับสิ่งเหล่านี้ได้ผ่านงานศิลปะ สถาปัตยกรรมต่างๆ และจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการของผู้คนในเมืองแห่งนี้” เฮนริคกล่าว

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากนั้นอยากจะมาเยือนเบอร์ลิน และชาวต่างถิ่นผู้อาศัยอยู่ในเบอร์ลินมากว่า 15 ปีอย่างเฮนริคจะไม่อยากไปจากที่นี่

สำหรับเขาแล้ว กรุงเบอร์ลินเป็นสถานที่ที่มีทางเลือกให้ทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะร้านอาหารหรูหรือโรงงานที่ถูกเปลี่ยนเป็นบาร์หน้าตาดิบๆ คุณไม่จำเป็นต้องแต่งกายเนี้ยบหรือสวมรองเท้าหนังมันขลับ เพราะในปัจจุบัน การมีอิสระในการเลือกถือเป็นนิยามความหรูหราที่แท้จริง และกรุงเบอร์ลินนั้นคือสถานที่ไม่กี่แห่งในโลกที่วัฒนธรรมทุกกระแสนั้นหลอมรวมและสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียว

Essentials


Berghain

Am Wriezener Bahnhof
เบอร์ลิน berghain.de

Coda Berlin

Friedelstraße 47, 12047

+49 30 91496396

coda-berlin.com

Orania.Berlin

Oranienstraße 40, เบอร์ลิน

+49 30 69539680

orania.berlin/

Salon Zur Wilden Renate

Alt-Stralau 70, เบอร์ลิน

+49 30 25041426

Urban Nation Museum for Urban Contemporary Art

Bülowstraße 7 เบอร์ลิน

urban-nation.com/museum/

Zur Die Klappe

Yorckstraße 2 เบอร์ลิน

bit.ly/2kbjDFR