SECTION
ABOUTBEYOND BOUNDARIES
The Road Less Travelled
เทือกเขาหิมาลัยในเขตประเทศเนปาลไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายโปรดของนักเดินป่าด้วยเท้า แต่ยังเป็นแดนสวรรค์สำหรับนักผจญภัยบนรถยนต์สองล้อ ผู้อาจเริ่มเดินทางเพื่อแสวงหาความตื่นเต้น หากได้พบกับความรู้สึกสงบสันติติดตัวกลับไป
29 กุมภาพันธ์ 2567
ประเทศในเขตเอเชียใต้ที่โอบล้อมไปด้วยเทือกเขาหิมาลัยอย่างเนปาลนั้นเป็นดินแดนในฝันของผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติและการผจญภัย ด้วยแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก เช่น อุทยานแห่งชาติจิตวันทางตอนใต้ของประเทศ อันเป็นจุดส่องสัตว์ป่าพื้นถิ่นอย่างแรดนอเดียว เสือโคร่งเบงกอล ช้างเอเชีย หมี หรือจระเข้ ในถิ่นอาศัยตามธรรมชาติ โดยเฉพาะผู้ที่มีกำลังกายถึงพร้อมมักเลือกหลีกเร้นจากบรรยากาศเมืองอันวุ่นวายและเดินเท้าสำรวจเส้นทางเอเวอเรสต์ เบส แคมป์ หรืออันนะปุรณะ เซอร์กิต และอาจแวะสัมผัสบรรยากาศและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองหลวงอย่างกาฐมาณฑุเพียงวันสองวัน
ในระยะหลัง ประเทศเนปาลยังเริ่มกลายเป็นที่สนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักความสบายมากขึ้น ด้วยโรงแรมหรูที่ทยอยเปิดตัว รวมถึง Shinta Mani Mustang บนยอดเขาสูงชันของเมืองจอมซอม ซึ่งออกแบบโดยบิล เบนสเลย์ สถาปนิกและศิลปินชาวอเมริกันระดับตำนานผู้อยู่เบื้องหลังงานออกแบบโรงแรมชื่อดังหลายแห่งทั่วเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมโรสวูด หลวงพระบาง, คาเพลลา, อูบุด, เดอะ สยาม กรุงเทพฯ และอื่นๆ
แม้กระทั่งในปัจจุบัน เมืองจอมซอมในเขตแดนมุสตางนั้นตั้งอยู่ในจุดที่ผู้คนเดินทางไปถึงได้ยาก เมืองนี้จึงเป็นดั่งเพชรเม็ดงามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขามหึมา และทำให้โรงแรมชินตามณี มุสตาง มีเสน่ห์ยิ่งขึ้นจากความลึกลับและบริสุทธิ์ของพื้นที่
โดยทั่วไปแล้ว การเดินทางไปจอมซอมต้องอาศัยเที่ยวบินที่เปลี่ยนเครื่องที่เมืองโปขรา หรือบินตรงด้วยเฮลิคอปเตอร์ แต่สำหรับคนที่มองหาความตื่นเต้นในดินแดนแห่งการผจญภัยนี้ สามารถเลือกที่จะไปสู่จอมซอมโดยวิถีของการขับขี่จักรยานยนต์ไปตามเส้นทางอันคดเคี้ยวได้เพียงแค่เพียงแค่มีใบขับขี่สากลหรือใบขับขี่จากประเทศของตนที่เป็นภาษาอังกฤษ โดยอาจเริ่มจากการเช่าจักรยานยนต์ในเมืองจากร้าน City Motorbike หรือร้านอื่นๆ ที่มีรถรอยัล เอนฟิลด์ขนาดสามร้อยห้าสิบซีซีหรือห้าร้อยซีซี อันขึ้นชื่อเรื่องรูปลักษณ์วินเทจและความสมบุกสมบันไว้นำเสนอ ตลอดจักรยานยนต์อีกหลายต่อหลายรุ่นที่เหมาะกับการลุยถนนขรุขระ
ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน หรือเชี่ยวชาญเพียงใด นักบิดผู้มาเยือนเนปาลควรเดินทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป และพยายามวางแผนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เกินหกชั่วโมงต่อวัน พร้อมเผื่อเวลาออกนอกเส้นทางหลวงเพื่อแวะดื่มด่ำทิวทัศน์อันงดงาม
อย่างไรก็ตาม การขับขี่จักรยานยนต์ในเนปาลจำเป็นต้องอาศัยความชำนาญพอสมควร เพราะทุกเส้นทางล้วนมีความท้าทายในแบบที่ต่างกัน นักบิดที่มีประสบการณ์ยังอาจได้รอยขีดข่วนหรือฟกช้ำติดตัวกลับบ้าน ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ไม่เคยขับรถมอเตอร์ไซค์ในทางวิบากที่อาจตกอยู่ในอันตรายได้หากไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ
สำหรับเส้นทางสู่เมืองจอมซอมอันลึกลับนั้น เพื่อร่นระยะเวลาและความลำบาก นักซิ่งหลายคนมักหลีกเลี่ยงการใช้ทางหลวง Prithvi เนื่องจากเป็นถนนลูกรังความยาวกว่าสองร้อยกิโลเมตรที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสร้างเสร็จสมบูรณ์ แถมยังเต็มไปด้วยรถบรรทุกและรถบัสนักท่องเที่ยวที่แออัดบนถนนลื่นโคลน โดยเลือกไปเริ่มทริปผจญภัยที่เมืองโปขราแทน แต่ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน หรือเชี่ยวชาญเพียงใด สิ่งหนึ่งที่เป็นสัจธรรมที่ได้รับการพิสูจน์ คือนักบิดผู้มาเยือนเนปาลควรเดินทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป และพยายามวางแผนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เกินหกชั่วโมงต่อวัน พร้อมเผื่อเวลาออกนอกเส้นทางหลวงเพื่อแวะดื่มด่ำทิวทัศน์อันงดงาม
หากใครเลือกขี่จักรยานยนต์ตรงมาจากกาฐมาณฑุ หนึ่งในจุดแวะพักที่น่าสนใจคือเมืองบันดิปูร์ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุราวห้าชั่วโมง และเป็นจุดพักค้างคืนที่ดีด้วยเกสต์เฮาส์กว่าสิบแห่งที่พร้อมให้ที่พักพิงกับนักเดินทาง โดยหนึ่งในนั้นคือ Sunshine Hotel and Restaurant ที่กลมกลืนกับชุมชนรอบข้างแต่ยังเด่นด้วยวิวขุนเขาอลังการแบบสามร้อยหกสิบองศาและอาหารพื้นถิ่นที่น่าสนใจ หลังจากพักกายจนหายเหนื่อยแล้ว นักเดินทางต้องใช้เวลาอีกราวสี่ชั่วโมงไปสู่เมืองโปขรา ที่สามารถมองเห็นทิวเขาอันนะปุรณะอันไกลโพ้นได้ โดยหากใครอยากชมวิวเทือกเขาหิมาลัยแบบเต็มอิ่ม ควรเลือกเข้าพักที่ไทเกอร์ เมาน์เท่น โภครา ลอดจ์ โรงแรมหรูอันเป็นที่พักผ่อนของนักผจญภัยผู้มีกำลังทรัพย์มานานกว่า 25 ปี ที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้ลิ้มลอง ‘ทาลี’ อาหารพื้นถิ่นที่เสิร์ฟมาในถาดโลหะกลม ก่อนจะเข้าพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อบนทางหลวงเบนี-จอมซอม
การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นเหมือนบทเรียนแห่งชีวิตว่าเส้นทางที่ยากลำบากมักซ่อนปลายทางอันสวยงามเกินฝันไว้
เส้นทางจากเมืองโปขราไปสู่ทางหลวงมิดฮิลล์นั้นค่อนข้างสะดวกสบาย และถนนอันคดเคี้ยวบริเวณบักลุงและเบนีถือเป็นสวรรค์ของนักเดินทาง ด้วยการจราจรไม่หนาแน่นและทิวทัศน์น่าตื่นตาของป่าไม้เขียวชอุ่มและน้ำตกเล็กใหญ่ที่มีให้ชมตลอดเส้นทาง หากมีเวลาเพียงพอก็สามารถแวะเดินเล่นในป่า รับประทานอาหารกลางวัน หรือแม้กระทั่งเล่นบันจี้จัมพ์ได้ แต่จุดหมายปลายทางหลักของวันควรเป็นหมู่บ้านทาโทปานี ที่ใช้เวลาเดินทางประมาณสี่ชั่วโมง หมู่บ้านกลางขุนเขาแห่งนี้มีน้ำพุร้อนธรรมชาติและน้ำตกนาร์ชยาง อย่างไรก็ตาม ที่พักในหมู่บ้านนี้อาจไม่หรูหรามากนัก โดยส่วนมากจะเป็นบ้านพักแบบชนบทอย่างเช่น Hotel Hotspring Inn หรือ Hotel Trekkers Inn
ถนนจากทาโทปานีไปหมู่บ้านคาโลปานีเป็นหนึ่งในเส้นทางที่ท้าทายที่สุดของทริป โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูมรสุมที่ถนนเลนเดียวอันขรุขระและลาดชันจะเต็มไปด้วยโคลนลื่น ถึงแม้จะมีถนนลาดยางเป็นช่วงๆ แต่เส้นทางนี้แทบใช้งานไม่ได้เลยระหว่างฤดูมรสุม เนื่องจากเส้นทางจะทรุดลงอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงการเดินทาง หากใครโชคไม่ดีเจอฝนระหว่างเส้นทางนี้อาจพบว่า ถนนลูกรังอันแห้งกรังได้กลายเป็นลำธารแห่งก้อนกรวด เหล่านักซิ่งอาจต้องชะลอความเร็วมาสู่การคืบคลานอย่างช้าๆ ผ่านไหล่เขาอันเต็มไปด้วยโคลนลื่น ซึ่งอาจสูงถึงเข่าได้ในช่วงท้ายของเส้นทาง
ในฝั่งขวาของถนนสุดอันตรายเส้นนี้เป็นหน้าผาทอดยาวหลายร้อยเมตรสู่แม่น้ำคัณฑกี ส่วนฝั่งซ้ายอาจมีเศษหินและดินหล่นลงมาจากข้างบน นักบิดจึงไม่ควรประมาทการเดินทางในเส้นนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยความระมัดระวังและความชำนาญ นักเดินทางก็จะสามารถเดินทางผ่านเส้นนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
เมื่อถึงหมู่บ้านคาโลปานี นักท่องเที่ยวสามารถพักเหนื่อยหรือซ่อมบำรุงจักรยานยนต์เพื่อนยากได้ที่หมู่บ้านแห่งนี้ หนึ่งในที่พักค้างคืนประจำท้องที่คือ See You Lodge & Restaurant ที่มีห้องพักสะอาดและเรียบง่าย พร้อมการต้อนรับอันอบอุ่น ถึงแม้ว่าขนาดห้องหับอาจไม่สามารถสู้โรงแรมได้ แต่ความอบอุ่นและเป็นมิตรของชาวบ้านนั้นเป็นเสน่ห์อันน่าประทับใจของเกสต์เฮาส์ในเนปาล นอกจากนี้ เกสต์เฮ้าส์ส่วนใหญ่จะเสิร์ฟอาหารอย่างดาลบัต (dal bhat) สตูว์ทำจากถั่วเลนทิลและข้าว, ทุกปา (thukpa) ก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบธิเบต, โมโม่ (momo) เกี๊ยวนึ่งสอดใส้ หรือผักดองกันดรุก (gundruk) ด้วยสูตรท้องถิ่น ซึ่งเมื่ออยู่ในบรรยากาศของการร่วมรับประทานกับเจ้าบ้านและไกด์ชาวเนปาลด้วยแล้ว มื้ออาหารนี้จะกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำอย่างยิ่ง
ผ่านหมู่บ้านคาโลปานีไป ทิวทัศน์ของหุบเขาจะเริ่มเปิดกว้างขึ้น นักเดินทางจะได้ขี่จักรยานยนต์เลียบแม่น้ำอันใสสะอาด หรือผ่านสะพานแขวนอันทอดยาว ทิวทัศน์ของที่ราบสูงในเอเชียจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มที่เต็มไปด้วยต้นสนที่ชวนให้นึกถึงเทือกเขาแอลป์จากฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ จนอดรู้สึกไม่ได้ว่า ความยากลำบากที่ผ่านมาช่างคุ้มค่า และเพียงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ทัศนียภาพที่คล้ายอยู่ในยุโรปก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นดินแดนแห่งภูเขาหินสีเทาแดงราวกับอยู่ในโมร็อกโก อันเป็นสัญญาณว่าได้เดินทางเข้าใกล้เมืองจอมซอมในเขตมุสตางตอนใต้ และโรงแรมชินตามณี มุสตาง
เพียงด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 2,700 เมตร ความพิเศษของโรงแรมชินตามณี มุสตางก็หาที่ใดเปรียบไม่ได้ นอกจากการออกแบบที่ผสานการรักษาเสน่ห์ทางวัฒนธรรมของท้องที่ไว้กับความเรียบหรูได้อย่างลงตัวแล้ว อาจเรียกได้ว่าโรงแรมแห่งนี้มีทิวทัศน์โอบล้อมที่สวยที่สุดในเอเชียใต้ ทั้งโรงแรมมีห้องพักเพียง 29 ห้องเพื่อความสงบและความเป็นส่วนตัว ทั้งยังมีร้านอาหาร Nilgiri ที่เสิร์ฟอาหารระดับโรงแรมห้าดาว และ Aara Bar ที่เชื้อเชิญให้แขกมาจิบเครื่องดื่มยามค่ำพร้อมผิงไฟเพื่อผ่อนคลายในความอบอุ่น
โรงแรมชินตามณี มุสตางสร้างขึ้นจากหินในพื้นที่ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากขนจามรีและหินแกะสลักอักษรทิเบต ในทุกห้องมีหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานเพื่อเผยความงามของยอดเขาอันนะปุรณะแห่งเทือกเขาหิมาลัยและท้องฟ้าสีคราม ทั้งยังมีสปาและกิจกรรมเวลเนสอื่นๆ ไปจนถึงกิจกรรมเดินป่าและทัศนาจรต่างๆ จากเดิมที่เคยเป็นเพียงหมู่บ้านห่างไกล โรงแรมอันเปี่ยมมนต์ขลังแห่งนี้ได้เสริมให้เมืองจอมซอมกลายเป็นจุดหมายในฝันของนักท่องเที่ยวหลายคนจากทุกมุมโลก
หลังจากผ่านเส้นทางขรุขระมายาวนาน นักเดินทางสามารถเดินทางต่อจากโรงแรมแห่งนี้ไปบนถนนลาดยางอย่างดีไปยังวัดมุกตินาถ เทวาลัย พระวิษณุที่อยู่ห่างจากโรงแรมราวหนึ่งชั่วโมง และเป็นหนึ่งในวัดที่สูงที่สุดของโลกที่ตั้งที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 3,800 เมตร โดยชาวฮินดูถือว่าวัดมุกตินาถเป็นหนึ่งใน ‘Divya Desam’ หรือวัดของพระวิษณุอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีทั้งหมด 108 แห่งในโลก และเป็นแห่งเดียวที่อยู่นอกอินเดีย นอกจากนี้ ทั้งนักแสวงบุญและนักท่องเที่ยวสามารถชำระล้างบาปได้ด้วยการเดินผ่านลำน้ำศักดิ์สิทธิ์ 108 สายที่ด้านบนของวัดแห่งนี้ นับเป็นวิธีการปิดท้ายทริปได้อย่างผุดผ่องและงดงาม
เมื่อมองย้อนหลังยามจบทริป ในชั่วขณะที่ต้องขี่จักรยานยนต์สองล้อ แทบไม่มีใครมองว่าโคลนตมบนเส้นทางเป็นโชคดีที่ได้ผ่านพบ จวบจนผ่านพ้นเส้นทางนั้นมาสู่สวรรค์บนดินและพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ ช่วงเวลาแสนทรหดจึงเริ่มจางหายไป พร้อมๆ กับที่รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของผู้ที่พลันได้เห็นความงามอันเกินคาดหมาย การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นเหมือนบทเรียนแห่งชีวิตว่าเส้นทางที่ยากลำบากมักซ่อนปลายทางอันสวยงามเกินฝันไว้ และแม้ระหว่างทางจะหนักหน่วงขนาดไหน ความเหนื่อยล้าย่อมจางหายไปและทิ้งไว้แต่ความทรงจำ ■