SECTION
ABOUTCLIENT VALUES
Cooling Effects
แนวคิดการบริหารงานอย่างยั่งยืนของอนุรุธ ว่องวานิช ทายาทรุ่นที่ 4 แห่งแบรนด์ 'อังกฤษตรางู' แป้งเย็นอันดับหนึ่งของคนไทย ที่เน้นการทำธุรกิจควบคู่คุณธรรม และไม่ยอมประนีประนอมในเรื่องคุณภาพ
ยามเอ่ยชื่อ ‘อังกฤษตรางู’ คนไทยยุคก่อนหน้าอาจคุ้นเคยกับภาพยนตร์โฆษณาขาวดำ ที่มีคาแรกเตอร์หลักเป็นตัวการ์ตูนลุงหัวล้าน พร้อมสโลแกนติดหู “ร้อนเหลือเหงื่อไหล ขอแนะนำให้ใช้แป้งหอม prickly heat” ภาพยนตร์โฆษณาดังกล่าวออกฉายเป็นครั้งแรกทางช่อง 4 บางขุนพรหม และกลายเป็นตำนานอีกชิ้นของวงการโฆษณาไทย
แต่การโฆษณาเพียงอย่างเดียวย่อมไม่อาจพาให้แป้งกระป๋องเหล็กทรงเหลี่ยมสุดคลาสสิกยืนหยัดอยู่บนชั้นตามห้างสรรพสินค้าและร้านค้าชั้นนำมาเป็นเวลาเกือบ 80 ปี ดังนั้น แม้แบรนด์อังกฤษตรางูจะมีโฆษณาและคลิปไวรัลที่ประสบความสำเร็จอีกหลายชิ้น ตลอดจนเพิ่งคว้ารางวัล Superbrands ที่ถือเป็น ‘Oscars of Branding’ สิ่งที่เป็นหัวใจยึดเหนี่ยวทุกอย่างเข้าด้วยกันก็คือคุณภาพสินค้าที่เสมอต้นเสมอปลาย และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย
ปัจจุบัน บริษัทอังกฤษตรางูอยู่ภายใต้การบริหารงานของอนุรุธ ว่องวานิช ทายาทรุ่นที่ 4 และอดีตนายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ อนุรุธยังคงสานต่อเจตนารมณ์ของรุ่นปู่และพ่อในการสร้าง ‘ความเย็น’ ให้กับโลก ผ่านการทำโครงการเพื่อสังคมที่ส่งเสริมพุทธศาสนา การรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งตั้งเป้าจะพาความเย็นในแบบฉบับอังกฤษตรางูไปสู่ระดับโลก
ห้างขายยาฝรั่ง
อังกฤษตรางูก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1892 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยนพ.โทมัส เฮย์วาร์ด เฮยส์ ท่านเป็นหมอฝรั่งและหมอสอนศาสนา สมัยก่อนเวลามิชชันนารีนำศาสนาไปเผยแผ่ที่ไหน เขาจะไปดูแลเรื่องสาธารณสุขต่างๆ ด้วย หมอเฮยส์ท่านเข้ามาเมืองไทย มาเป็นอาจารย์หมออยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช และได้เปิดห้างขายยาอังกฤษตรางูขึ้น ตรางูในสมัยนั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ British Dispensary หรือห้างขายยาอังกฤษ เหตุเพราะว่าผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งเป็นคนอังกฤษ โดยตัวโลโก้นั้นเป็นรูปงูมีลูกศรปักอยู่ แทนสัญลักษณ์ของการฆ่าโรคภัยไข้เจ็บ ภายในร้านก็จะมีตู้สีน้ำตาลสไตล์อังกฤษโบราณ พร้อมด้วยโถน้ำสีๆ กับสินค้ายาฝรั่งเรียงราย สมัยก่อนเมืองไทยเรายังใช้พวกสมุนไพร ยาหม้อ และยาแผนโบราณในการรักษา เราไม่คุ้นเคยกับยาฝรั่ง ที่ห้างขายยาอังกฤษตรางูจะมีเภสัชประจำการอยู่ชั้นล่าง และหมออยู่ชั้นบน ถ้าคนป่วย หมอก็สั่งยาลงมาข้างล่าง ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่ทันสมัยมากในยุคนั้น
ส่งต่อสู่รุ่นที่สอง
คุณปู่ของผมเป็นลูกกำพร้ามาจากเกาะไหหลำ หอบเสื่อผืนหมอนใบนั่งเรือมายังเมืองไทยพร้อมพี่สาวและพี่เขย และมาเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ชีวิตวัยเด็กท่านต้องดิ้นรนอย่างหนัก แต่ท่านเป็นคนใฝ่รู้และอดทน แล้วก็ชอบเรียนภาษาอังกฤษ ก็เลยได้มาทำงานที่ห้างอังกฤษตรางู หมอฝรั่งเกิดถูกใจเพราะเห็นว่าคนไทยคนนี้ทำงานเก่งและพูดภาษาอังกฤษได้ หมอฝรั่งบริหารธุรกิจอยู่ 36 ปี ระหว่างนั้นก็เปลี่ยนมือมาสู่ยุคของมิสเตอร์แมคเบธ เขาอยากเกษียณและกลับประเทศอังกฤษ เลยมาถามปู่ของผมว่าอยากซื้อร้านนี้ต่อไหม คุณปู่บอกว่าไม่มีเงิน เขาบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการเรื่องการเงินให้ แล้วก็ขายกิจการให้คุณปู่ในปี 1928 ในราคา 1 แสนบาท จนกระทั่งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้ามาตั้งฐานทัพในเมืองไทย เราก็ต้องเอาชื่ออังกฤษออก เหลือแค่ตรางูเฉยๆ เพราะอังกฤษอยู่คนละฝ่ายกับญี่ปุ่น เป็นสาเหตุที่บางคนก็เรียกตรางู บ้างก็เรียกอังกฤษตรางู ภายหลังคุณปู่ท่านได้ขยายกิจการจนเกิดเป็นสาขาต่างๆ เช่น สยามสแควร์ สุขุมวิท และเสือป่า รวมทั้งทำหน้าที่เป็นเอเยนต์รับสินค้าพวกยาน้ำจากต่างประเทศเข้ามาขายด้วย
จุดกำเนิด ‘แป้งตรางู’
สมัยนั้นมีฝรั่งเข้ามาเมืองไทยเยอะ ร้านขายยาอังกฤษตรางูจะเป็นที่รองรับคณะทูตต่างๆ แล้วเมืองไทยอากาศร้อน ฝรั่งเขาเป็นผดผื่น เลยมาที่ห้างอังกฤษตรางู ตอนนั้นคุณปู่กับคุณลุงช่วยกันดูแลกิจการอยู่ คุณลุงเป็นหมอ ท่านก็ลองผสมสูตรแป้งให้ความเย็นและลดผดผื่นคันให้ ปรากฏว่าขายดี บอกกันปากต่อปาก คนมากันเยอะ คุณปู่ท่านมีหัวผู้ประกอบการ เลยคิดเอามาใส่กระป๋องขาย ก็ได้ออกมาเป็นกระป๋องสี่เหลี่ยม มีตรางูเป็นเครื่องหมายการค้า พร้อมคำว่า prickly heat อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แป้งตรางูถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดมาเพื่อตอบปัญหาเรื่องความร้อนและผดผื่นคันโดยเฉพาะ ปรากฏว่าทำไปทำมาติดตลาด จากนั้นเราเลยมุ่งขายสินค้าประเภทแป้ง มีทั้งแป้งเย็น แป้งน้ำ แป้งเด็ก และแป้งใส่เท้า ราวๆ ช่วงปี 1964 ในยุคของคุณพ่อผม ดร.บุญยง ว่องวานิช ท่านก็สร้างโรงงานขึ้นมาเพื่อผลิตในระดับอุตสาหกรรม ไม่ได้เป็นแค่เซอร์วิสในร้านขายยาแล้ว แล้วก็เริ่มรับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์ต่างๆ อาทิ Boots และ Mistine เป็นยุคที่ธุรกิจเริ่มมีความหลากหลายครอบคลุม มีทั้งแป้ง สบู่ แชมพู สกินแคร์ ไปจนถึงยาแก้ไอน้ำดำตรางู น้ำมันเซ็นลุกซ์ และอาหารเสริม
หนึ่งในความท้าทายสำหรับผม คือการทำให้แป้งตรางูเข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้ได้ เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไป คนใช้แป้งน้อยลง ไม่ได้เอามาทาตัวหรือโรยที่นอนดับร้อนเหมือนสมัยก่อนแล้ว
ขยายฐานธุรกิจ
ผมเข้ามารับช่วงกิจการในปี 1985 เป็นทายาทรุ่นที่ 4 นับจากรุ่นหมอฝรั่ง จริงๆ สมัยเรียนจบ ผมอยากเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ เพื่อเปิดหูเปิดตา แต่คุณพ่อท่านต้องการเกษียณแล้ว เลยให้ผมเข้ามาเรียนรู้งานทันทีโดยเริ่มจากฝั่งโรงงานก่อน ให้เข้าใจว่าโรงงานมีองค์ประกอบอะไรบ้าง วิธีรักษาคุณภาพสินค้าเหล่านี้ให้ยั่งยืนทำอย่างไร แล้วท่านจึงค่อยส่งผมไปดูเรื่องการตลาดและการขาย ว่าลูกค้าของเราเป็นใครและอยู่ที่ไหน ธุรกิจของเราจัดอยู่ในประเภทสุขภาพและความงาม แต่ความงามในมิติของอังกฤษตรางูนั้นเกิดขึ้นจากการดูแลผิวพรรณ จึงเป็นสาเหตุที่เราซื้อกิจการแบรนด์ Tea Tree ซึ่งเป็นสมุนไพรจากออสเตรเลีย และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสการ์แคร์มาในปี 2008 ส่วนในอนาคตนั้นเรามองเรื่องของกัญชงกัญชาไว้ สมุนไพรสองตัวนี้อาจกลายมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ของเรา ให้เราสามารถส่งออกนำเงินเข้าประเทศได้ นอกจากนี้ เรายังมองในเรื่องของอีคอมเมิร์ซ การทำการตลาดเฉพาะกลุ่ม รวมทั้งการพาแบรนด์ตรางูไปสู่ระดับโลกด้วย
ตีตลาดคนรุ่นใหม่
หนึ่งในความท้าทายสำหรับผม คือการทำให้แป้งตรางูเข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้ได้ เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไป คนใช้แป้งน้อยลง ไม่ได้เอามาทาตัวหรือโรยที่นอนดับร้อนเหมือนสมัยก่อนแล้ว ถึงสินค้าเรายังอยู่ได้ก็จริง แต่การเติบโตนั้นช้าลง เราจึงต้องหมั่นศึกษาและพัฒนาตัวเอง อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคืออากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เราเลยเปลี่ยนแนวคิด ไม่มุ่งขายแป้งอย่างเดียวแล้ว แต่ปรับเปลี่ยนแพคเกจจิ้งให้มีความหลากหลายขึ้น และมุ่งไปสู่สินค้าเย็น อาทิ เจลอาบน้ำ สเปรย์เย็น ทิชชู่เย็น แป้งตรางูสูตรแอคทีฟที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่ออกกำลังกาย ไปจนถึงยาสมุนไพรต่างๆ นอกจากนี้ เราคิดว่าแบรนด์เก่าแก่อย่างตรางูนั้น สามารถปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยได้ผ่านการสื่อสารที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย การร่วมมือกับอินฟลูเอ็นเซอร์รุ่นใหม่ หรือการจับมือกับแบรนด์สตรีทแฟชั่น Matter Makers และสปัญญ์ อินทวงษ์ นักออกแบบรุ่นใหม่ที่เคยร่วมงานกับหลุยส์ วิตต็อง เพื่อออกแบบสินค้าลิมิเต็ด อิดิชันของตรางู ปรากฏว่าเสื้อตัวละหนึ่งพันบาทนั้นขายหมดเกลี้ยง แสดงให้เห็นว่าของเก่า ถ้านำมาทำดีๆ ก็กลายเป็นเท่ได้ เหมือนอย่างยี่ห้อโชคดี แป้งศรีจันทร์ หรือเพลินวาน
นำตรางูสู่ ‘โกลบอล แบรนด์’
ความใฝ่ฝันของผมคือ อยากเห็นตรางูกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ไม่ต้องถึงขั้นกระทิงแดงหรือโคคาโคล่า ตอนนี้เราขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งฟิลิปปินส์ และล่าสุดกำลังตะลุยจีนกับอินเดียอยู่ เพราะสองประเทศนี้รวมกันประชากรเกือบ 3 พันล้านคน ขณะที่ประเทศไทยมี 70 ล้านคนเท่านั้นเอง นักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวบ้านเรานั้นเฉลี่ยปีละ 10 ล้านคน แล้วเขารู้จักแป้งตรางูมาหลายทศวรรษ ในยุคของประธานาธิบดีเหมา เจ๋อ ตุง จีนยังไม่เปิดประเทศ คนจีนก็นั่งเรือจากเกาะไหหลำมาตั้งรกรากอยู่ที่ย่านเยาวราชกับราชวงศ์ สมัยนั้นคนจีนฐานะยากจน เวลากลับบ้านก็หิ้วแป้งตรางูไปเป็นของฝาก ทำให้ทุกวันนี้ นักท่องเที่ยวจีนมาเมืองไทยก็ยังเรียกหาแป้งตรางูอยู่ แล้วล่าสุดเราก็เพิ่งได้รับรางวัล Superbrands Thailand ซึ่งเป็นรางวัลที่แจกโดยองค์กรระดับโลกไป ผมเชื่อว่าโอกาสของแบรนด์ตรางูในระดับโลกนั้นเป็นไปได้ เพราะนับวันโลกยิ่งร้อนขึ้น จริงๆ ภูมิภาคอย่างแอฟริกาหรือตะวันออกกลางก็มีความน่าสนใจ แต่เรายังไม่มีแรงไปถึง เลยขอมุ่งแถวๆ นี้ก่อน
ธุรกิจควบคู่คุณธรรม
บางคนอาจจะสงสัยว่า หลักธรรมทางพุทธศาสนาและการทำธุรกิจนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร คุณธรรมนั้นคือความดีงาม คือการที่เราได้ทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้บริโภค ผู้ถือหุ้น พนักงาน และสังคม ถ้าเกิดมีกำไรในธุรกิจ เราก็ต้องรู้จักแบ่งปันคืนสู่สังคม เพราะสังคมคือผู้บริโภคของเรา ถ้าวันนี้เรามีมลภาวะล้นโลก แล้วเราเพิกเฉย คิดแค่ว่าโกยได้โกยเอา หากวันหนึ่งสังคมล่มสลายไป เราก็ไม่มีที่อยู่ ไม่มีธุรกิจ คุณธรรมนั้นเป็นปรัชญาสำคัญของอังกฤษตรางูมานับตั้งแต่รุ่นคุณปู่และคุณพ่อ ท่านทั้งสองเป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา คุณพ่อผมเป็นผู้ก่อตั้งยุวพุทธิกสมาคมฯ สมัยนั้นท่านอายุราว 20 ต้นๆ แล้วในยุคหนึ่งผมก็มาช่วยสานต่อ สำหรับผม คุณธรรมกับคุณภาพจริงๆ มันคือเรื่องเดียวกัน คุณภาพนั้นต้องปรากฎอยู่ในตัวสินค้าและบริการทุกชิ้น และหัวใจที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ก็คือคุณธรรมและการยืนหยัดในการทำความดี แล้วเราต้องทำให้สม่ำเสมอ บางคนอาจจะบอกว่าคุณธรรมฟังแล้วดูเชย แต่เรามองว่าต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ให้กับผู้บริโภคของเรา ลดลงไม่ได้เลย
คุณธรรมกับคุณภาพจริงๆ มันคือเรื่องเดียวกัน คุณภาพนั้นต้องปรากฎอยู่ในตัวสินค้าและบริการทุกชิ้น และหัวใจที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ก็คือคุณธรรมและการยืนหยัดในการทำความดี
คืนสู่สังคม
สมัยก่อนเราจัดโครงการส่งเสริมในเรื่องของคุณธรรมเยอะ อย่างที่ธรรมสถานว่องวานิชเรามีหลักสูตรปฏิบัติธรรมหลากหลาย ทั้งสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ และสามเณร และปัจจุบันเราหันมาเน้นในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย ปรัชญาของธุรกิจเราคือการคืนกำไรสู่สังคม เราเลยจัดแคมเปญ Cool the World ขึ้นเพื่อช่วยรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เราสอนให้พนักงานของเรารู้จักวิธีแยกขยะและส่งเสริมการรีไซเคิล ถ้ากินน้ำขวดละสิบบาทเสร็จแล้วทิ้ง แล้วสิบล้านคนทำแบบเดียวกัน ก็มีขวดน้ำสิบล้านขวดเกลื่อนพื้น ฝนตกลงมาก็ลอยไปอยู่ตามแม่น้ำลำคลอง ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลและกลายเป็นไมโครพลาสติกต่างๆ สุดท้ายก็วกกลับมาที่มนุษย์ เราเลยพยายามสร้างจิตสำนึกว่าทุกคนต้องมีบทบาทในการรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่ว่าหน้าที่เก็บขยะคือกทม. หรือหน้าที่จับผู้ร้ายคือตำรวจเท่านั้น
การศึกษาในมุมมองของดร.บุญยง
คุณพ่อผมให้ความสำคัญกับการศึกษามาก โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการ ท่านเคยใช้วลีภาษาอังกฤษว่า “human progress through better management” เพราะมนุษย์เราต่างจากสัตว์โลกทั้งปวงตรงที่เรามีปัญญาในการวางแผนจัดการ คุณพ่อผมไม่ใช่นักปรัชญา ท่านจะมุ่งเน้นในทางปฏิบัติ ทำให้เวลาสอนลูกๆ ท่านจะมีอิทธิพลกับพวกเราเยอะ ท่านส่งลูกๆ ไปอยู่เมืองนอกเพื่อให้พวกเราเปิดหูเปิดตา ไปศึกษาจากประเทศชั้นนำที่เขามีวิทยาการและความรู้ก้าวหน้ากว่าเรา ผมถือว่าตัวเองโชคดีที่ท่านส่งไปเรียนต่างประเทศ เพราะอยู่ที่นั่นเราได้ฝึกช่วยตัวเอง ต้องเก็บขยะ ล้างจาน ตัดหญ้า และขับรถไปจัดการเรื่องต่างๆ ประสบการณ์ตรงนี้ฝึกให้เราเข้มแข็งและมีความรับผิดชอบ เพราะเราต้องอยู่รอดให้ได้ ฝรั่งเขาไม่มีใครมาประคองใคร ขณะที่เมืองไทยนี่อุปถัมภ์ดูแลกันวุ่นวาย
สร้างคน ‘สายเย็น’
คุณพ่อมีลูก 4 คน เลยมีความคิดว่าอยากให้คนหนึ่งไปช่วยการเมือง เป็นสาเหตุที่ท่านให้ผมเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ ท่านอยากให้ผมเข้าใจเกี่ยวกับกลไกทางเศรษฐกิจและระบบการปกครอง ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจทำอย่างไร และระบบการปกครองที่ดีและทันสมัยนั้นเป็นอย่างไร คุณพ่อเคยมีความคิดว่า ถ้าประเทศชาติมันจะดีได้ คนต้องดี นักการเมืองต้องมีคุณธรรม ท่านเห็นว่าในโลกนี้มีนักการเมืองหลายคนที่ทำสิ่งดีๆ ให้กับโลกและประเทศของเขา เช่น มหาตมะ คานธี หรือลีกวนยู ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำที่ผมชื่นชมและได้อ่านหนังสือเขาหลายเล่ม แต่ต่อมาท่านก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องร้อน เต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรง คงเป็นเรื่องที่เราแก้ไขได้ลำบาก อย่างในซีรีส์ The Roman Empire ที่ผมดูบนเน็ตฟลิกซ์ สมัยจูเลียส ซีซาร์ ก็ฆ่ากันแหลก ดูของแขก แขกก็ฆ่า จีนก็ฆ่า การช่วงชิงอำนาจและการปะทะกันของอำนาจเก่าและใหม่นั้นเป็นวัฏจักรของมนุษย์ทุกยุคสมัย ใครที่มีอำนาจก็ถือว่าคนนั้นดี การสู้ในสายร้อนบางทีก็ทำให้เกิดทุกข์มากกว่า เราสามารถทำสิ่งดีๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเป็นผู้มีอำนาจ คุณพ่อเลยส่งผมไปทำงานที่ยุวพุทธิกสมาคมฯ เพื่อช่วยฝึกในเรื่องการทำสมาธิและสร้างคนในสายเย็นแทน
เจริญสติในความวุ่นวาย
ปัจจุบันคนเราอยู่ในโลกที่ทุกอย่างเคลื่อนที่เร็ว ความยุ่งเหยิงของข้อมูลนั้นเข้ามาทุกทาง หลายครั้งเราไม่มีเวลานั่งทบทวนตนเอง คนจำนวนมากกลายเป็นโรคสมาธิสั้น เครียด หรือถึงขั้นฆ่าตัวตาย ผมเลยพยายามส่งเสริมเรื่องการฝึกสมาธิและเจริญสติ เพื่อช่วยให้จิตใจไม่ว้าวุ่นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่การทำสมาธิก็ไม่ใช่หนทางอย่างเดียว บางคนไม่ชอบทำสมาธิก็อาจจะฟังครูบาอาจารย์เทศน์ทางออนไลน์ หรืออ่านหนังสือเอาเองก็ได้ ทั้งนี้ ผมเชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นถูกต้องเสมอไม่ว่าในยุคสมัยใด เพียงแต่เราจะนำเสนออย่างไรให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่เท่านั้น ซึ่งจุดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงาน องค์กร และสื่อต่างๆ ในการถ่ายทอดสาระสำคัญของหลักธรรมให้เข้าใจง่าย รูปแบบการเสนอไม่เชย และนำไปปฏิบัติได้จริง ไม่ต้องถึงขั้นสอนแบบโยนนิพพานไปให้ หรือไปบอกว่าอันนี้ตกนรก อันนี้ขึ้นสวรรค์
ผมมองว่าดนตรีร็อกสนุก บางทีผมเครียดจากการทำงาน ผมก็ทำทั้งสองอย่าง ร็อกแอนด์โรลก็ได้ นั่งสมาธิหรือเดินจงกรมก็ดี มันมีหลายวิธีในการเข้าสู่ความสงบ
จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา
จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนายังเหมือนเดิมตั้งแต่แรกเริ่ม คือสอนให้คนไม่ประมาทและเกิดปัญญา จริงๆ การเข้าสู่สภาวะที่เกิดปัญญานั้นไม่ได้จำกัดอยู่กับแค่ชาวพุทธ จะเป็นศาสนาคริสต์ มุสลิม หรือกระทั่งนักวิ่งมาราธอน ก็มีสมาธิและเกิดปัญญาได้ ปัญญานั้นจะนำเราไปสู่หนทางดับทุกข์ ไม่ใช่แค่ทำให้มีความสุข จริงอยู่ที่การจะไปถึงมรรคผลนิพพานนั้นเป็นทางไกล แต่ถ้าเรามีความรู้ในเรื่องของหลักธรรม มันจะเป็นแสงส่องทางให้เราค่อยๆ เดินไป ขอแค่เราพยายามอยู่บนเส้นทาง บางทีเราอาจจะไปขวาหรือซ้ายไปบ้าง เราก็ต้องหาความเป็นกลางของเราให้ได้ พุทธศาสนาสอนให้เราเข้าใจว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และเราไม่สามารถได้ทุกอย่างที่ต้องการ เราแค่ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ดูแลตัวเองท่ามกลางมรสุมอันบ้าคลั่งข้างนอก ให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและปลอดภัยจากนรก
ค่านิยมที่ผิดเพี้ยน
หลักธรรมทางพุทธศาสนาสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาทุกอย่างได้หมด แต่หลักธรรมนั้นจะส่งผลก็ต่อเมื่อเรานำเอาไปปฏิบัติจริง บางคนอาจจะบอกว่าตนเองเป็นคนดี และประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม แต่เราต้องดูด้วยว่าเขาเป็นคนดีแบบไหน อย่างถ้าเราไปสร้างบุญคุณกับใคร เขาก็ต้องตอบแทนบุญคุณเรา เกิดสมมติวันหนึ่งเราไปขอให้เขาช่วย แต่เป็นการช่วยในสิ่งที่ผิด เขาก็ต้องยอมทำในสิ่งที่ผิดเพราะความกตัญญู มันเป็นค่านิยมที่ฟังดูแปลก แต่ในระบบอุปถัมภ์ก็มีให้เห็นเต็มไปหมด ยิ่งคนไทยเรามีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่แล้ว แต่บางทีเราต้องดูด้วยว่าที่ไปช่วยนั้นช่วยอะไร ไปโกงกินตรงไหนหรือทำอะไรที่ขัดต่อผลประโยชน์ส่วนรวมหรือเปล่า ผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์ และมีให้เห็นทุกยุคทุกสมัย
ธรรมะกับร็อกแอนด์โรล
ผมถูกส่งไปเรียนไฮสคูลที่อเมริกาในช่วงกลางยุค ’70s หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม สมัยนั้นเพลงร็อกแอนด์โรล เฮฟวี่เมทัล และฮาร์ดร็อก กำลังเป็นที่นิยม แล้วเราก็จะมีวงร็อกอย่าง Deep Purple, Led Zeppeline หรือศิลปินอย่างจิมมี่ เฮ็นดริกซ์ เป็นร็อกไอดอล และแน่นอนว่าเครื่องดนตรีที่โดดเด่นที่สุดก็คือกีตาร์ สมัยนั้นผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นฝรั่ง เขาเคยตามพ่อมาอยู่ที่เมืองไทยในช่วงสงครามเวียดนาม พอไปเจอกันที่เมืองนอก ก็เลยสนิทกัน เขาสอนให้ผมเล่นกีตาร์ เสียบแอมป์ซ้อมดนตรีกันในบ้าน พอกลับมาเมืองไทย มาเจอเพื่อนที่ชอบแนวเดียวกัน ก็เลยชวนกันตั้งวง คนหนึ่งเล่นเบส เราเล่นกีตาร์ ก็หามือกลอง มือคีย์บอร์ดมาแจมกันสนุกๆ จนทุกวันนี้ก็ยังมีกีตาร์ในห้องนอน ว่างก็หยิบมาเล่น บางช่วงก็ยังไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนบ้าง บางคนเห็นผมมีภาพพจน์เป็นชาวพุทธที่ดี แต่ทำไมชอบร็อกแอนด์โรล คือผมว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบแจ๊ส ป๊อป คลาสสิก ผมโตมากับเพลงร็อก ก็ไม่ผิดอะไร ผมมองว่าดนตรีร็อกสนุก บางทีผมเครียดจากการทำงาน ผมก็ทำทั้งสองอย่าง ร็อกแอนด์โรลก็ได้ นั่งสมาธิหรือเดินจงกรมก็ดี มันมีหลายวิธีในการเข้าสู่ความสงบ อยู่ที่ว่าตอนนั้นเราจะเลือกใช้วิธีไหนให้เหมาะกับสภาพอารมณ์ของเรา
ทักษะแห่งโลกยุคใหม่
เดี๋ยวนี้โลกเราแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงเร็ว เลยอยากเห็นทั้งคนไทยและพนักงานในบริษัทของเราเก่งขึ้น จะได้สู้กับจีน เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซียได้ เพราะกลายเป็นว่าตอนนี้คู่แข่งเราคือกัมพูชา ลาว และฟิลิปปินส์ ถ้าเรายังหน่อมแน้มไม่พัฒนาตัวเอง ความสามารถในการแข่งขันก็จะถดถอยลงเรื่อยๆ แล้วการศึกษาทุกวันนี้ไม่ใช่การศึกษาแบบท่องจำอย่างเดิมแล้ว เราอยู่ในยุค Big Data Analytics สิ่งที่เรามองหาคือทักษะในการค้นหา วิเคราะห์ และนำข้อมูลไปใช้ ไม่ใช่ว่าเราเข้าไปในวิกิพีเดีย copy และ paste ให้งานเสร็จ เราต้องรู้จักคิดนอกกรอบ ไม่ใช่รอรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว อีกทักษะหนึ่งที่ผมมองว่าจำเป็นทุกยุคสมัย คือความรับผิดชอบในงาน ซึ่งสุดท้ายแล้วมันวกกลับมาที่คน คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด เราต้องสร้างคนที่มีความรู้ความสามารถในการวางแผน ปฏิบัติการ และแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่การจะหาทั้งคนเก่งและดีนั้นยากมาก บางทีเราเจอคนเก่งแต่ไม่ดี หรือเจอคนดีแต่ไม่เก่ง ก็อาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ในภายหลัง
เติบโตในแบบตรางู
ถามว่าเราจะมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกไหม ผมเชื่อว่ามีในระดับหนึ่ง เราอาจจะไม่เก่งอย่างไมโครซอฟต์ กูเกิ้ล หรือแอปเปิ้ล เพราะเราเป็นแบรนด์ไทย ก็ต้องสไตล์ไทยหน่อย แต่เราต้องแข่งขันอย่างมีความสุขและคุณธรรม ไม่จำเป็นต้องทำกำไรสุดขีด เราไม่ใช่ธุรกิจใหญ่ เราค่อนข้างอนุรักษ์นิยม แต่สำคัญคือเราต้องรักษาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและตอบกับความต้องการของผู้บริโภค ปกติสินค้าแต่ละตัวจะมี life cycle ของมัน แต่แป้งเย็นของเรานั้นถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุยืนยาว เป็นหนึ่งในสินค้าที่เราภาคภูมิใจ อย่างที่ผมเน้นย้ำตลอด ถ้าสินค้าไม่มีคุณภาพ เราก็อยู่ไม่ได้ ฉะนั้นถ้าบอกว่าแป้งกระป๋องนี้เป็นแป้งเย็น ก็ต้องให้คำมั่นสัญญาว่ามันจะเย็นสบายตัวจริงๆ ไม่ว่าจะใช้ที่นิวยอร์ก จีน หรือไต้หวัน ส่วนเรื่องต้นทุนและราคาต่างๆ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เราต้องดูแลไป ด้วย แต่ทั้งนี้ ห้าม compromise กับคุณภาพเป็นอันขาด ■
รู้จักกับอนุรุธ ว่องวานิช
อนุรุธ ว่องวานิช จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ จาก Hawaii University ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากสถาบัน บัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์- มหาวิทยาลัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการกลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูและประธาน มูลนิธิว่องวานิช